“นิว นอร์มอล” หลังโควิด หลายๆ อย่างจะเปลี๊ยนไป๋

ถ้อยคำในภาษาอังกฤษที่ฮิตมากคำหนึ่งในยุคโควิด-19 ระบาดที่เราได้ยินทุกวัน และวันละหลายๆ ครั้ง ทั้งก่อนและหลังอาหาร เห็นทีจะหนีไม่พ้นคำว่า New Normal ไปได้ละครับ

เพราะมีทั้งคำอธิบาย ทั้งการขยายความบอกเล่าเก้าสิบกันว่า นับแต่นี้ไปโลกเราจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่จะเปลี่ยนไปสู่โลกที่มีอะไรใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายต่อหลายอย่าง

ทั้งระบบเศรษฐกิจ ทั้งการใช้ชีวิตประจำวัน รวมไปถึงวัฒนธรรมประเพณีบางอย่างที่อาจจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงจากของเดิมๆ

จริงๆ แล้ว ถ้อยคำนี้ก็ไม่ใช่ของใหม่อะไร ท่านที่ติดตามข่าวโลก โดยเฉพาะข่าวเศรษฐกิจของโลกคงจะคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว

เพราะเป็นคำที่นักเศรษฐศาสตร์ หรือนักการเงินฝรั่งนำมาใช้อย่างแพร่หลาย หลังวิกฤติการเงิน เมื่อปี ค.ศ.2008-2013 ที่พอเกิดเหตุการณ์แล้วก็มีการเตือนกันว่า ระบบการเงินของโลกกำลังจะเข้าสู่ “นิว นอร์มอล” ซึ่งหลังจากนั้นก็เปลี่ยนไปจริงๆ (Bill Gross 2008)

เผอิญผมไม่มีความรู้เรื่องการเงิน การธนาคาร จึงไม่ทราบว่านิว นอร์มอล ที่พูดถึงกันนั้นมีอะไรบ้าง

จนมาถึงเมื่อปี ค.ศ.2014 หรือ 2557 นี่เอง ท่าน สี จิ้นผิง ก็หยิบมาใช้ โดยการแถลงว่า จีนกำลังจะเข้าสู่ยุค นิว นอร์มอล เพราะอัตราความเจริญเติบโตที่เคยสูงเกินร้อยละ 10 จะเป็นไปได้ยากแล้ว เพราะโลกจะเปลี่ยนไปในทุกๆ ด้าน

ความเจริญเติบโตแบบตํ่ากว่าร้อยละ 10 จะเป็นนิว นอร์มอลของจีนและก็จะเป็นมิติใหม่ที่เหมาะสมกับการพัฒนาประเทศจีนในโลกยุคใหม่

มีการนำคำนี้มาแปลเป็นภาษาไทย ดูเหมือนคำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ ที่แปลกันตรงๆ ว่า “ความปกติรูปแบบใหม่”

แต่เพื่อนผมคุณ สุทธิชัย หยุ่น ใช้คำว่า “ความปกติที่ไม่เคยปกติ” ก็เป็นที่ยอมรับกว้างขวางเช่นกัน

หลังจากโควิด-19 หยุดระบาดแล้ว เราคงจะเห็นความปกติรูปแบบใหม่ หรือความปกติที่ไม่ปกติเกิดขึ้นอย่างมากในสังคมไทยของเรา

การใช้ชีวิตประจำวันก็จะเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะการขึ้นรถเมล์ ขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานในแต่ละวัน ที่เราก็ได้ยินข่าวแล้วว่า จะต้องมีการจัดที่นั่งแบบทิ้งระยะห่างทางสังคมทั้งสิ้น

รถไฟฟ้าที่เคยเบียดแน่นโดยอัดกันตู้ละ 150-200 คน อาจจะเหลือแค่ 60 คน…ในขณะที่รถเมล์ รถตู้ก็จะโดนจัดระเบียบใหม่หมด จะไม่มีการโหน หรือการนั่งเบียดเสียดอีกแล้ว

แม้แต่เครื่องบินก็จะรับผู้โดยสารได้ทีละครึ่งลำเท่านั้น

คนไทยจะสบายขึ้นมาก แต่ไม่รู้ซีว่าจะต้องจ่ายค่าโดยสารแพงขึ้นหรือเปล่า เพราะรับคนได้ครึ่งเดียวแบบนี้…เจ้าของกิจการคมนาคม ขนส่งเขาอาจต้องขอขึ้นราคาบ้างก็ได้นะครับ

ก่อนเขียนต้นฉบับวันนี้ไม่กี่นาที ผมเพิ่งไปตรวจร่างกายที่ตรวจเป็นประจำ ที่โรงพยาบาลรามาธิบดี…ชอบใจมาก เพราะโรงพยาบาลจัดที่นั่งแบบที่เว้นที่ โล่งไปเลยทีเดียว

แต่มานึกดูช่วงนี้คนกำลังกลัวโควิค-19 ไม่กล้าไปโรงพยาบาล ผิดนัดหมอเป็นแถวๆ โรงพยาบาลก็พอรับได้จากสภาพการนั่งรอ ยืนรอแบบระยะห่างที่จัดไว้

ครั้นพอเวลาผ่านไป คนหายกลัวโควิค-19 ไปตรวจรักษาตามปกติ ซึ่งจะแน่นมากอย่างที่เคยแน่นก็คงจะเป็นปัญหาใหญ่ของโรงพยาบาลรามาธิบดีว่า จะจัดที่นั่งอย่างไรถึงจะพอกับนิว นอร์มอลในวันข้างหน้า

ครับ! ก็เป็นตัวอย่างเท่าที่นึกออกในขณะเขียนต้นฉบับ ส่วนที่ยังนึกไม่ออกน่าจะมีอีกมากทีเดียว สำหรับความเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ซึ่งยังมองภาพไม่เห็นในขณะนี้

อ้อ! นึกออกอีกตัวอย่างแล้วล่ะ พ่อ ไว เด่นชัย ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ มือฉมังแห่งสุพรรณบุรี เขาโพสต์คลิปขำๆ ทีแรกนึกว่าเป็นคลิปอนาจาร เพราะเป็นเรื่องของหนุ่มสาวคู่หนึ่งจะมีอะไรกันบนเตียงนอน

แต่แล้ว แม่สาวนึกขึ้นมาได้ งัดเครื่อง ยิงอุณหภูมิ วัดไข้ มายิงใส่หน้าเจ้าหนุ่ม ซึ่งเปลือยรออยู่แล้ว พอเห็นอุณหภูมิ 38 หรือ 39 เท่านั้นแหละ แม่สาวซึ่งเปลือยอยู่เหมือนกัน วิ่งจู๊ดหนีลงจากเตียงไปเลย

คลิปนี้สอนใจเราว่า ต่อไปในอนาคตก่อนที่คนไทยจะมีความรักมอบให้แก่กันและกัน อาจจะต้องมีการ “ยิงอุณหภูมิ” กันก่อน ถึงจะมีความสุขร่วมกันได้…กลายเป็น “นิว นอร์มอล” อีกประการหนึ่งที่มีเหตุมาจากโควิด-19…เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้แล!

“ซูม”