ไม่ใช่เวลา “หน่อมแน้ม” ถึงนาทีนี้ต้อง “เด็ดขาด”

ผมเขียนต้นฉบับวันนี้ในช่วงบ่ายๆ ของวันเสาร์ที่ 4 เมษายน 2563 เพราะมีความจำเป็นต้องส่งต้นฉบับก่อน 6 โมงเย็น ตามคิวการส่งต้นฉบับในแต่ละวันของผม คงไม่สามารถที่จะรอเส้นตายสำคัญของเหตุการณ์ที่น่าเศร้าใจเหตุการณ์หนึ่ง ที่เกิดขึ้นในคืนก่อนหน้านี้หนึ่งคืนได้

นั่นก็คือ กรณีที่ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากต่างประเทศรวม 5 เที่ยวบิน ทั้งสิ้น 158 คน ไม่ยอมรับการกักตัว 14 วัน ณ สถานที่ที่รัฐจัดให้ตามกติกาสำคัญของการต่อสู้โรคโควิด-19 ที่รัฐบาลได้ออกคำสั่งไว้ถึง 152 คน ยอมรับเพียง 6 คนเท่านั้น

บุคคลกลุ่มนี้อ้างว่าไม่ทราบเรื่องมาก่อน รัฐบาลออกกฎทีหลังก่อนเดินทาง ถกเถียงวุ่นวายเป็นเวลาหลายชั่วโมง

ในที่สุดเจ้าหน้าที่รัฐที่ตามข่าวบอกว่า มียศเป็นถึงพลตรีท่านหนึ่ง ก็ยอมแพ้ ปล่อยให้ผู้โดยสารเหล่านั้นกลับบ้าน แม้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะทัดทานแล้วก็ตาม

นำความตระหนกตกใจมาสู่ประชาชนชาวไทยที่ได้อ่านข่าวสารในเช้าวันรุ่งขึ้นเป็นอย่างมาก มีการโพสต์ในสื่อสังคมออนไลน์ ตำหนิผู้โดยสารชุดนี้ตั้งแต่เบาไปจนถึงหนักว่าเป็นผู้ไม่รับผิดชอบต่อสังคมบ้าง เป็นบุคคลขาดจิตสำนึกบ้าง ไม่ยอมเคารพกฎกติกาบ้านเมืองบ้าง

รวมไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์นายทหารที่ปล่อยให้ผู้โดยสารกลับไปกักตัวที่บ้าน ทั้งๆ ที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายสาธารณสุขได้ทักท้วงแล้ว

ต่อมาในช่วงบ่ายๆ ก็มีถ้อยแถลงจากโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ว่าที่ประชุม ศบค.มีมติให้ผู้โดยสาร 152 รายไปรายงานตัว ณ จุดต่างๆ ที่กำหนดไว้ภายในเวลา 18.00 น.ของวันเสาร์ที่ 4 เมษายน เพื่อเข้าสู่การกักตัว 14 วัน ณ โรงแรมที่รัฐจัดไว้

หากไม่ไปรายงานตัวจะถือว่ามีโทษตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

เป็นที่มาของคำว่า “เส้นตาย 18.00 น.” ที่ผมเขียนเกริ่นไว้ข้างต้น และได้เรียนท่านผู้อ่านว่าผมไม่สามารถจะรอได้ เพราะต้องส่งต้นฉบับตามเงื่อนเวลาของผมก่อนจะถึงเส้นตาย 18.00 น.ดังกล่าว

ผมก็ได้แต่หวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่คนไทยทุกหมู่เหล่าให้ความเคารพนับถือ คงจะช่วยดลบันดาลให้คนไทยกลุ่มนี้เกิดความสำนึก เกิดความรับผิดชอบเดินทางมารายงานตัวเพื่อที่จะไปเข้าสถานที่กักตัวตามเวลาที่กำหนดไว้

อย่าให้ท่านต้องตกเป็นผู้ต้องหาของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่สามารถจะจับกุมท่านได้ในข้อหากระทำความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฉบับที่กำลังใช้กันอยู่นี้แม้แต่คนเดียว

รีบมารายงานตัวเสียให้ครบทุกคนก่อน 6 โมงเย็นวันเสาร์ที่ 4 เมษายน ซึ่งผมเชื่อว่าทางการเขาจะต้อนรับท่านด้วยดี นำไปพักโรงแรมอย่างดีตามที่ท่านโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงไว้

ดังได้กล่าวแล้วว่า ยอดล่าสุดอยู่ที่ 152 รายเท่านั้น เพราะมีผู้ที่เคารพกฎกติกายอมรับการกักตัวตั้งแต่แรกรวม 6 รายด้วยกัน

ซึ่งผมก็ถือโอกาสนี้ขอบคุณทั้ง 6 รายไว้ ณ ที่นี้ และขอปรบมือให้อย่างจริงใจในจิตสำนึกอันดีงามของท่าน

ขณะเดียวกัน ก็พร้อมที่จะกล่าวขอบคุณและปรบมือให้เช่นเดียวกัน สำหรับอีก 152 ราย ที่ผมหวังว่าจะมารายงานตัวอย่างครบถ้วนใน 6 โมงเย็นวันเสาร์ตามที่ ศบค.ให้เวลาไว้

สำหรับคนบิดเบี้ยว คนไม่ยอมมารายงานตัว ผมก็ขอยกมือสนับสนุนการดำเนินการอย่างเด็ดขาดของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองละครับ

การที่นายทหารระดับพลตรีท่านหนึ่งเจรจากับบุคคลกลุ่มนี้ที่สนามบินสุวรรณภูมิ แล้วยอมปล่อยให้กลับบ้าน นับว่าทำความผิดหวังให้แก่คนติดตามข่าวอย่างมาก จนมีเสียงนินทากันหึ่งว่า ตอนประกาศฉุกเฉินสมัยปฏิวัติปฏิรูปนั้น บุคคลสีเขียวในเครื่องแบบจะกร้าวกว่านี้เยอะ

แต่พอมาประกาศฉุกเฉินให้กระทรวงสาธารณสุขต่อสู้โรคระบาด ซึ่งน่ากลัวมากไหงอ่อนโยนจัง ปล่อยตัวคนไม่เคารพกติกา ซึ่งอาจนำปัญหาร้ายแรงมาสู่ประชาชนอื่นๆ กลับบ้านง่ายๆ ซะงั้น

เพราะฉะนั้นท่านนายพลอื่นๆ โดยเฉพาะฝ่ายตำรวจทุกระดับชั้น โปรด “เข้ม” หน่อย ผมขออนุญาตใช้คำล้าสมัยที่เคยฮิตเมื่อ 4-5 ปีก่อน แต่เดี๋ยวนี้ตกกระป๋องสักคำนะครับ เพราะนึกคำทันสมัยไม่ออก

เลิก “หน่อมแน้ม” เสียทีเถอะ…ทำให้สมราคาประกาศฉุกเฉินกันหน่อย…ใครไม่มารายงานตัว 6 โมงเย็นวันเสาร์…โปรดจัดการ!

“ซูม”