นับในแบบจีน ผมจะมีอายุครบ 80 ปีในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้แล้ว ถือได้ว่าผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความสุขความทุกข์มามากพอสมควร หนักบ้าง เบาบ้างสลับกันไป
ต้องยอมรับว่าความทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกและในประเทศไทยเรา ณ นาทีนี้เป็นความทุกข์ที่หนักหนาสาหัสที่สุดในชีวิตผม
เมื่อมองจากสาเหตุแห่งความทุกข์ของมนุษย์ 2 เหตุใหญ่ คือ เรื่องโรคระบาด กับการสงคราม
ในเรื่อง สงคราม ผมเกิดในช่วงปลายๆ สงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งการสู้รบต่างๆ เริ่มซาลงเป็นอันมากแล้ว ประกอบกับผมอยู่ต่างจังหวัด ห่างไกลจากพื้นที่ที่เป็นเป้าหมายของการทิ้งระเบิด จึงแทบจะมิได้รู้รสชาติหรือสัมผัสกับกลิ่นอายของสงครามเลย
พอโตขึ้นมาอายุ 30 เศษๆ บ้านเรามีความขัดแย้งทางความคิด เกิดการสู้รบระหว่างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กับทางราชการในป่าต่างๆ หลายพื้นที่ของประเทศ
ผมออกชนบทบ่อยยุคนั้น ผ่านพื้นที่สีแดงหลายครั้ง ยอมรับว่าเสียวและหวาดหวั่นบ้างในครั้งแรกๆ แต่นานๆ ไปก็ชิน
ต่อมาก็โล่งใจเมื่อรัฐบาลไทยออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 ในยุค พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ส่งผลให้นักรบในป่าออกมามอบตัวร่วมพัฒนาชาติไทย บ้านเมืองกลับสู่ความสงบในที่สุด
ส่วนในด้าน โรคระบาด
ตอนผมยังเป็นเด็กชั้นประถม มีข่าวว่าโรคอหิวาต์ระบาดที่โน่นที่นี่อยู่ 2-3 ครั้ง
แม้จะกลัวมาก เพราะเคยได้ยินผู้ใหญ่เล่าอยู่เสมอว่า โรคอหิวาต์ หรือโรคห่าเป็นโรคที่รุนแรงมาก ระบาดเมื่อไรก็ตายกันเป็นเบือ
แต่ก็นับว่าโชคดี เพราะโรคอหิวาต์ที่ระบาดในยุคผมเป็นเด็กนั้น กระทรวงสาธารณสุขของเราเอาอยู่แผล็บเดียวข่าวคราวก็หายเงียบไป
ต่อมาผมโตขึ้นใกล้จะจบมัธยมแล้ว ก็มีข่าวว่าไข้หวัดใหญ่ระบาดที่โน่นที่นี่ ช่วงนั้นยังไม่มียารักษา ยังไม่มีวัคซีน มีผู้เสียชีวิตเยอะ แต่ไม่นานนักการระบาดก็ซาลงไปไม่ถึงจังหวัดผมอีกเช่นเคย
จากนั้นก็แทบไม่มีการระบาดอะไรในเมืองไทยที่น่ากลัวอีกเลย จนมาถึงยุค โรคเอดส์ ที่ผู้คนป่วยและล้มตายกันมาก แม้จะน่ากลัวแต่ถ้าเราระวังตัวและป้องกันตัว แค่สวมถุงยางเวลามีเพศสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าเท่านั้น ทุกอย่างก็เรียบร้อย เพราะมันไม่ระบาดทางอื่น
มาถึงยุคไข้ หวัดนก, ไข้ หวัดหมู, หวัด มรณะซาร์ส แม้จะน่ากลัว มีรายงานผู้เสียชีวิตจำนวนมาก แต่มันก็ผ่านไปเร็ว จนบางครั้ง เราแทบไม่รู้ด้วยซํ้าว่ามันระบาดขึ้นแล้ว
ไม่ได้มีมาตรการใหญ่ถึงขั้นปิดโรงเรียน ปิดห้าง ปิดบาร์ ปิดผับ ปิดเมือง ปิดประเทศ อย่างเจ้าโควิด-19 ในยุคนี้
ไม่มีรายงานว่าระบาดแล้วทำให้ผู้คนทั่วโลกติดเชื้อจำนวนมาก เสียชีวิตจำนวนมาก กระเทือนต่อเศรษฐกิจอย่างมากเช่นครั้งนี้
ดังนั้นสำหรับคนอายุใกล้ 8 ทศวรรษอย่างผม ศึกครั้งนี้จึงเป็นศึกใหญ่ที่สุด น่าสะพรึงกลัวที่สุด ยิ่งกว่าภาวะสงคราม หรือเฉียดๆ สงคราม ในช่วง 80 ปีที่ผ่านมา และยิ่งกว่าภาวะโรคระบาดใดๆ ที่เคยเกิดขึ้น
แต่ไม่ว่าจะเป็นศึกใหญ่แค่ไหน ผมก็ยังเชื่อว่าประเทศไทยจะสู้ได้… กระทรวงสาธารณสุขของเราจะยันไว้ได้ และคนไทยเรานี่แหละจะสู้ได้
ขอเพียงเราปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขที่ว่า “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” อย่างเคร่งครัด
ขอให้เราเชื่อ ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะของท่าน ที่คำนวณสถานการณ์ปัจจุบัน ของไทยแล้วสรุปว่า
ถ้าเรายังไม่เปลี่ยนอุปนิสัยประจำวัน ยังออกจากบ้าน ยังใช้ชีวิตพูดคุย เจอกัน ทำงานแบบที่ทำอยู่เวลานี้ พอถึง 15 เมษายน คาดว่าคนไทย จะเป็นโควิด 351,948 ราย นอนโรงพยาบาล 52,792 ราย นอนไอซียู 17,597 ราย เสียชีวิต 7,039 คน
แต่ถ้าหากหยุดอยู่บ้าน คาดว่า 15 เมษายน เราจะเป็นโควิด 24,269 นอนโรงพยาบาล 3,640 นอนไอซียู 1,213 และเสียชีวิต 485
ลองเชื่ออาจารย์หมอสักครั้งเถอะครับ แน่นอนปากท้องสำคัญมาก เศรษฐกิจรายได้ต่างๆ ก็สำคัญยิ่ง แต่สำคัญที่สุดคือชีวิตคนไทย มิใช่หรือ? ถ้าจะต้องเลือกระหว่างเศรษฐกิจกับชีวิต เราเลือกชีวิตไว้ก่อนเถิด…เศรษฐกิจทรุดสามารถฟื้นได้ แต่ถ้าคนเสียชีวิตจะไม่มีทางฟื้นขึ้นมาได้อีกเลย.
“ซูม”