ตระหนักแต่ไม่ตระหนก จับมือสู้ “โควิด-19” ต่อไป

ช่วงนี้ถ้าผมจะเขียนแบบจุดเทียนเวียนวนสลับไปสลับมาอยู่ 2–3 เรื่องที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ทั้งของโลกและของประเทศไทย ก็อย่าว่าอย่างโน้นอย่างนี้เลยครับ เพราะทุกเรื่องล้วนมีผลกระทบต่อพวกเราชาวไทยทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งสิ้น

จำเป็นจะต้องหยิบมาบอกกล่าวแสดงความคิดความเห็นว่าจะสู้กับปัญหาเหล่านี้อย่างไร? หรือในบางเรื่องจะเอาตัวรอดได้อย่างไร?

ได้แก่ปัญหาไวรัสมหาภัย “โควิด–19” ที่ส่งผลกระทบแรงเกินคาดทั้งชีวิตผู้คนและผลทางเศรษฐกิจต่างๆ อย่างใหญ่หลวงอยู่ในขณะนี้

ได้แก่ปัญหาฝุ่นพิษหรือฝุ่นจิ๋ว PM 2.5 ที่คละคลุ้งแทบทุกวันส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนไทยทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด

ตามมาด้วยปัญหาการเมืองที่เกิดร้อนแรงขึ้นมาหลังมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เกิดปฏิกิริยาและมีการแสดงพลังของคนรุ่นใหม่ตามสถาบันการศึกษาไม่เพียงระดับมหาวิทยาลัย หรืออุดมศึกษาเท่านั้น ล่าสุดยังลงไปถึงโรงเรียนมัธยมแล้วด้วย

ครับ! มากมายหลายปัญหาจริงๆ และมีประเด็นที่จะต้องหยิบมาเขียนสลับกันไปสลับกันมาแบบจุดเทียนเวียนวนด้วยประการฉะนี้

วันนี้คงต้องเวียนกลับมาที่เรื่องไวรัส “โควิค–19” กันอีกหนละครับ เพราะเพิ่งจะมีประเด็นใหม่ที่น่าห่วงใยและต้องการความร่วมมืออย่างยิ่งจากคนไทยทุกคนที่เพิ่งเกิดขึ้นหมาดๆ เมื่อ 2 วันนี้เอง

จากข่าวกรณีสองผู้อาวุโสชาวไทยสามี-ภรรยาคู่หนึ่งไปเที่ยวฮอกไกโดกลับมาแล้วสามีมีอาการไข้ไอรุนแรง จึงไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเขาถามว่าไปต่างประเทศมาหรือเปล่าก็ปกปิดไม่ยอมบอก

มาบอกเอาในวันรุ่งขึ้น และก็พอดีทางโรงพยาบาลเอาเลือดไปตรวจก็เจอเชื้อเจ้าโควิด-19 เข้าให้อย่างจัง กลายเป็นเหตุแห่งความโกลาหลอลหม่านอย่างที่เราอ่านข่าวกันแล้ว

เริ่มจากโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้นก็ต้องไปตรวจดูว่ามีหมอมีพยาบาล หรือพนักงานคนไหนบ้างที่เข้ามาใกล้ชิดผู้ป่วยรายนี้

ตามมาด้วยโรงเรียนที่หลาน ซึ่งติดเชื้อจากปู่ แล้วก็ไปเรียนหนังสือมา 1 วัน ก็ต้องปิดโรงเรียนสั่งดูอาการของเด็กนักเรียนในโรงเรียนที่ว่า

รวมไปถึงเครื่องบินของสายการบินที่ 2 สามีภรรยากลับจากญี่ปุ่นก็ต้องตามไปดูว่าผู้โดยสารร่วมลำมีใครบ้าง จะต้องดูแลอาการด้วยอย่างใกล้ชิด

เดือดร้อนถึงท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล ต้องออกมาตำหนิชายไทยสูงอายุ ต้นเหตุที่ปกปิดความจริง ไม่บอกเสียแต่แรกว่าไปญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลเขาถามหลายครั้ง

แม้ในถ้อยแถลง “หมอหนู” และคณะแพทย์กระทรวงสาธารณสุขจะย้ำว่ากรณียังไม่ถึงขั้น “ซุปเปอร์สเปรดเดอร์” คือ ยังควบคุมได้และสามารถติดตามเฝ้าระวังผู้ที่เกี่ยวข้องต่างๆ ได้ แต่ในความรู้สึกของประชาชนคนที่อ่านข่าวที่ผมคุยด้วยต่างเกิดอาการหวั่นวิตกไปตามๆ กัน

ก็ได้แต่หวังว่ากระทรวงสาธารณสุขท่านจะเอาอยู่ดังที่ท่านแถลงไว้

ผมเห็นด้วยกับท่านรองนายกฯ อนุทินครับว่า ต่อไปนี้ใครไปไหนมา ไม่ว่าจะเป็นประเทศสุ่มเสี่ยงหรือไม่สุ่มเสี่ยงขอให้บอกคุณหมอทันที เมื่อเกิดอาการไข้คุณหมอหรือโรงพยาบาลเขาจะได้แยกไว้ตั้งแต่ต้น

ส่วนประชาชนทั่วไปก็ขอให้อยู่ในความระมัดระวังกันต่อ คือ ไม่ตื่นตระหนกในเหตุการณ์ แต่ต้องตระหนักและพยายามดูแลตัวเองตามที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ “กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ” สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกไปในที่สาธารณะ ฯลฯ

ผมเองเขียนบทความวันนี้ไปก็อดใจหวิวไปไม่ได้ เพราะก็ยังต้อง ออกไปเจอผู้คนไปโน่นนี่ ตามภารกิจต่างๆ ก็จะพยายามทำตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข เท่าที่จะทำได้

จากนั้นก็จะยกมือไหว้พระขอให้ท่านช่วยปกป้องคุ้มครองเพิ่มเติมขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง จากหลายๆ เรื่องที่เป็นปัญหามากมายและมีผลกระทบต่อคนไทยในปัจจุบันที่ผมขอท่านไว้แล้ว

ไหว้ไปก็ปลงไปด้วยครับ เพื่อให้มีสติและไม่ตื่นตระหนกจนเกิดเหตุ ขณะเดียวกันก็ไม่ตกอยู่ในความประมาทเสียจนไม่ดูแลหรือไม่ระวังอะไรเลย อันจะทำให้ไวรัสร้ายพันธุ์นี้แพร่เชื้อต่อไปได้โดยไม่สิ้นสุด

ขอโชคดีจงมีแก่ผู้อ่านทุกท่าน (รวมทั้งผมด้วย) นะครับ.

“ซูม”