ผมเห็นด้วยกับบทสัมภาษณ์ของคุณเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ที่ให้สัมภาษณ์มติชนออนไลน์ไว้ก่อนที่ “แฟลชม็อบ” สนับสนุนคุณธนาธร จะเกิดขึ้นที่สกายวอล์กสี่แยกปทุมวัน ประมาณ 1 วันเห็นจะได้
คุณเทพไทกล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวนอกสภาฯ ของพรรคอนาคตใหม่ แม้นายธนาธรจะถูกตัดสิทธิ์จากการเป็น ส.ส. แล้วก็ตาม แต่ยังคงสถานะความเป็นหัวหน้าพรรคอยู่ และยังมี ส.ส. ในสังกัดของพรรคอีก 80 คน
จึงน่าจะใช้ความเคลื่อนไหวในสภาฯ ก่อนจะเหมาะสมกว่าการเคลื่อนไหวนอกสภาฯ เพราะการเคลื่อนไหวการเมืองนอกสภาฯ อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายในสังคมไม่ต้องการ
สังคมไทยควรจะก้าวผ่านความขัดแย้งและการชุมนุมของกลุ่มเสื้อสีต่างๆ ได้แล้ว เราเคยมีบทเรียนจากการเคลื่อนไหวบนถนนมาตั้งแต่ม็อบเสื้อเหลือง ม็อบเสื้อแดง ม็อบหลากสี หรือม็อบนกหวีดมาแล้ว
มาถึงวันนี้สังคมก็คงไม่อยากเห็นม็อบเสื้อสีส้มอีกครั้ง เพราะความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมาเป็นเวลานับสิบๆ ปี ได้ทำลายโอกาสของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งภาวะทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ซึ่งมีผลกระทบต่อคนไทยทุกคน และสร้างความเสียหายให้แก่ประเทศอย่างมหาศาล” คุณเทพไทสรุป
ผมขออนุญาตหยิบยกมาเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์เลย เพราะเป็นคำพูดที่มีเหตุมีผล ถูกใจผมมาก
ถึงแม้คุณเทพไทจะเป็น ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในอดีตหลายๆ คนของพรรคนี้ก็มีส่วนร่วมในการใช้ระบอบประชาธิปไตยในท้องถนนอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อออกตัวว่าเป็นความเห็นส่วนตัวของท่าน ก็เป็นอันตัดประเด็นที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่น่าไว้วางใจออกไปได้
ประโยคที่ผมเห็นด้วยมากๆ ก็คือ ประโยคสุดท้ายที่บอกว่า ความขัดแย้งในท้องถนน ทำลายโอกาสของทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งภาวะทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองนั่นแหละครับ
โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจที่ทำให้ประเทศชาติถดถอยลงไปอย่างมาก ที่ผมเองก็เขียนปรารภไว้ในฉบับเมื่อวาน
เพราะฉะนั้น ก็ภาวนาขออย่าให้เกิดขึ้นอีกเลยในครั้งต่อไปที่มีการขู่ไว้ว่า จะเป็นเดือนหน้า หรือเดือนโน้นในปีใหม่ 2563
นักวิเคราะห์การเมืองหลายท่านตีความว่า คำขู่นี้อาจตีปลาหน้าไซไปถึงศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาคดีนี้ตามที่ กกต.ได้ยื่นไปแล้วว่าให้ยุบพรรคอนาคตใหม่
ผมก็หวังไว้เช่นเดียวกันว่า การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นไปโดยความเที่ยงธรรมอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้ขอให้อธิบายเหตุผลอย่างละเอียดเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย
ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาในด้านใด…“ยุบ” หรือ “ไม่ยุบ” ก็ตามขอให้อ่านแล้วเห็นด้วยทันที
เพื่อให้ทุกๆ ฝ่ายไม่ว่าจะเป็นพรรคอนาคตใหม่ หรือประชาชนทั่วไป ยอมรับคำตัดสิน โดยไม่มีทางถกเถียงใดๆ ได้ หรือหยิบไปใช้เป็นข้ออ้างในการออกไปใช้ประชาธิปไตยริมถนนได้
ประสาคนไทยเจนดึกดำบรรพ์กลุ่มที่เกิดระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ.2468-2488 (อายุ 74-92 ปี) ซึ่งบางตำราเขามองว่า เป็นภาระของประเทศที่ต้องรับการดูแลจากเจนอื่นๆ…ผมสำนึกดีว่าเสียงขอร้องของผมคงจะไม่ดังเท่าไรนัก
แต่ก็เอาเถอะไม่ว่าจะเสียงแหบขนาดไหนหรือไร้คนรับฟังแค่ไหน ผมก็อยากจะตะโกนไว้ให้ประจักษ์แก่คนทุกๆ เจนว่า ผมไม่เห็นด้วยกับประชาธิปไตยแบบใช้เท้าทุกรูปแบบและอยากจะบอกว่า พอทีเถอะ
ขอให้ใช้ “สภาฯ” ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด แม้ว่าจะยังเป็นแค่สภาฯ ของประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่ค่อยๆ ใช้ไป ค่อยๆ หาทางปรับปรุงแก้ไขกันไปอีกไม่นานก็จะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบไปเอง
ขณะเดียวกันก็ต้องบอกต้องเตือนทางฝ่ายรัฐบาลที่กุมความได้เปรียบของประชาธิปไตยครึ่งใบอยู่ในขณะนี้ก็โปรดใช้ความได้เปรียบของท่านให้อยู่ในกฎในเกณฑ์ในกรอบที่รับได้ อย่าทำอะไรที่เป็นการลุแก่อำนาจ หรือให้เป็นที่กังขาว่าท่านกำลังชกได้เข็มขัดเป็นอันขาด
มิฉะนั้นกระแสอาจจะพลิกกลับทำให้ฝ่ายประชาธิปไตยข้างถนนได้รับความนิยมและกลายเป็นฝ่ายชนะในที่สุดเหมือนที่เกิดมาหลายครั้งในอดีต รวมทั้งครั้งหลังสุดที่ก่อให้เกิดระบบ คสช. นี่แหละครับ.
“ซูม”