เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง ผมตามหลานสาววัย 5 ขวบ กับหลานชายวัยขวบครึ่งของผมไปเที่ยวงานงานหนึ่ง ซึ่งผมเพิ่งทราบว่าเขาจัดติดต่อกันมาเป็นปีที่ 10 แล้ว
ปีที่แล้วผมตามหลานสาวไปเที่ยวมาแล้วหนหนึ่งประทับใจมาก จนตั้งใจว่าจะกลับมาเขียนใน “คอลัมน์ซอกแซก” แต่จะด้วยอะไรไม่ทราบ ลืมเขียนไปเสียสนิท
ปีนี้ไปมาอีกรู้สึกประทับใจเพิ่มขึ้นอีกหลายๆ เท่า ตัดสินใจเขียนเสียวันนี้เลยดีกว่า เพราะขืนผัดผ่อนจะรอไว้เขียนวันโน้นวันนั้นเดี๋ยวจะลืมไปเสียอีกปี
ชื่องาน “เทศกาลศิลปะชุมชน” ครับ…ใช้ภาษาอังกฤษว่า Arts & Community Festival จัดโดยชุมชนชาว 3 แพร่ง…แพร่งสรรพศาสตร์ แพร่งภูธร และ แพร่งนรา 3 ชุมชนเก่าแก่ของเมืองบางกอกที่เราได้ยินชื่อได้ยินเสียงมานมนานแล้วนั่นเอง
เดินเข้าไปในบริเวณชุมชนซึ่งเป็นตึกแถวสร้างแบบโบราณในทั้ง 3 แพร่ง เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 23-24 พ.ย. จะเห็นการประดับธงทิวประดับโคมไฟ มีการออกร้านริมถนน มีการตั้งโต๊ะให้เด็กและผู้ใหญ่ฝึกปรือแสดงฝีมือทางศิลปะต่างๆ ตั้งแต่วาดภาพ เขียนรูป เย็บปักถักร้อย ไปจนถึงฝึกหัดทำขนมไทยเต็มพรืด ตั้งแต่บ่ายจนถึงเย็น
พอค่ำแดดร่มลมตกก็มีการแสดงบนเวทีริมถนนเช่นกัน ทั้งดนตรีไทย ดนตรีสากล ไปจนถึงโนรา ถึงลิเกพรั่งพร้อม
ที่เหลือเชื่อมากก็คือ พ่อแม่ผู้ปกครองจูงมือเด็กๆ ไปร่วมงานอย่างเนืองแน่น ไปร่วมกิจกรรม ร่วมเวิร์กช็อป วาดรูป ระบายสี ย้อมผ้าจัดทำตุ๊กตา ฝึกหัดทำขนม ฯลฯ นับเป็นพันๆ คน
ค่ำลงก็ยังแน่น เพราะเมื่อชุดเก่าลุกไปก็จะมีชุดใหม่เข้ามาแทนหมุนเวียนกันอยู่ตลอด
ขณะเดียวกัน กลุ่มผู้ใหญ่ กลุ่มนักท่องเที่ยวก็จะเริ่มทยอยกันมามากขึ้นเมื่อแดดร่มลมตกจนแน่นขนัดไปหมด ดูงานไปชมการแสดงวัฒนธรรมพื้นบ้านและงานศิลปะพื้นบ้านไปพร้อมๆ กับอุดหนุนอาหารต่างๆ ที่พ่อค้าแม่ค้ามาออกร้านขาย รวมทั้งร้านประจำดังๆ ของย่าน 3 แพร่ง ซึ่งก็มีอยู่มาก จนถึงเกือบ 4 ทุ่มได้เวลาปิดงาน
ผมไปตั้งแต่ 4 โมงเย็น ปักหลักอยู่ที่ แพร่งภูธร นั่งดูเด็กๆ ร่วมวาดรูปและประดิษฐ์โน่นนี่นั่นด้วยความสุขและความอิ่มเอมใจอย่างบอกไม่ถูก
พร้อมกับฟังเพลงที่แต่งขึ้นสำหรับชุมชนนี้โดยเฉพาะ เพื่อสอนให้เด็กๆ “รักกัน” รักชุมชน รักสังคม มีคำว่า “รอยยิ้มของแผ่นดิน” อยู่ในเนื้อเพลงด้วยอยู่หลายรอบ
ในแผ่นพับที่แจกก็จะมีภาษาอังกฤษ เขียนว่า Love Forever และภาษาไทยว่า “รักนิรันดร์ ณ สามแพร่ง”
จะไม่ให้คนที่เพิ่งมาจากโลกแห่งความเกลียดชัง โลกแห่งการขัดแย้งผสมกับการทะเลาะเบาะแว้งอย่างผมมีความอิ่มเอิบใจและมีความสุขใจได้อย่างไรล่ะ
คนที่ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยข่าวอย่างผมต้องอ่านข่าวหลายฉบับ และก็อย่างที่ทราบข่าวทุกวันนี้ก็มีแต่เรื่องทะเลาะกันทางการเมือง จะเอาเป็นเอาตายกันทุกเรื่อง ห้ำหั่นกันทุกเรื่อง อ่านแล้วก็รู้สึกเป็นทุกข์
พอหลุดออกมาสู่โลกแห่งความรักและความไร้เดียงสาระคนความมุ่งมั่นกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ซึ่งความจริงก็คือสิ่งเก่าๆ อันเป็นมรดกอันงดงามของชาติไทยเรานั่นเอง…ความสุขของผมก็กลับคืนมา
ความท้อแท้สิ้นหวังกับนักการเมืองซึ่งเป็นผู้กุมชะตาของประเทศในขณะนี้…ก็ค่อยๆ เลือนไปทีละน้อย
เกิดความหวังขึ้นมาใหม่…คือหวังไปข้างหน้า หวังไปในอนาคตกับเด็กน้อยหลายๆ พันที่พ่อแม่จูงมางานนี้ตลอด 2 วัน
หวังว่าเด็กๆ จะเกิดพลังแห่งความรัก ทั้งรักเพื่อนๆ เด็กๆ ด้วยกันเองในฐานะที่เป็นคนไทยร่วมยุคร่วมเจน ควบคู่ไปกับรักชุมชน รักสังคม รักประเทศชาติ และรักศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของชาติที่พี่ๆ นำมาถ่ายทอดให้ในวันนี้
ขอบคุณชาว 3 แพร่ง อีกครั้งที่ทำให้คนแก่ๆ อย่างผมมีความสุขและยังมีความหวังสำหรับอนาคตของประเทศไทยในวันข้างหน้า
ที่สำคัญขอบคุณที่ทำให้ผมยังมีกำลังใจที่ทราบว่า “ความรัก” ยังมีอยู่ในประเทศไทย หลังจากที่ได้อ่านและฟังแต่เรื่องราวของ “ความชัง” มาตลอดหลายๆ เดือนนับตั้งแต่มีสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้.
“ซูม”