ข้อเสนอที่รัฐบาลควรฟัง เลิกพึ่ง “GSP” จะดีไหม?

ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาแล้วนะครับสำหรับท่านนายกรัฐมนตรี “บิ๊กตู่” กับกรณีข่าวใหญ่สหรัฐอเมริกาตัดจีเอสพีไทย 573 รายการ รวมมูลค่าเกือบ 4 หมื่นล้านบาท

ท่านนายกฯ ท่านให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวสรุปได้ว่า ขอคนไทยอย่าตื่นตระหนกยังมีเวลาคุยอีกหลายเดือน และเป็นเรื่องของกฎหมายใครกฎหมายเขา หน้าที่ของรัฐบาลคือจะไปเจรจาได้แค่ไหนก็ต้องพอใจแค่นั้น และอย่าไปคาดเดาว่าเขาตัดเราเพราะเหตุนี้เหตุนั้น จะเป็นการกล่าวร้ายกันไปเปล่าๆ

หวังว่าท่านผู้อ่านคงจะได้อ่านหรือฟังคำให้สัมภาษณ์ของท่าน ตลอดจนคำชี้แจงของกระทรวงพาณิชย์ โดยละเอียดแล้วนะครับ

ผมน่ะเห็นด้วยอยู่แล้วว่า เราต้องตั้งสติและไม่ตื่นตระหนก เมื่อวานนี้ก็เขียนเสนอแนะรัฐบาลไปแล้วด้วยซํ้า เมื่อทราบว่าบิ๊กตู่ไม่ตระหนกตกใจอะไร และยังขอร้องให้คนไทยเลิกตื่นตระหนกด้วยเช่นกัน ผมก็ถือว่าเป็นไปตามสิ่งที่ผมอยากเห็น

จากนี้ก็จะคอยติดตาม คอยลุ้นเอาใจช่วยล่ะครับว่ากระทรวงพาณิชย์จะไปเจรจากับสหรัฐอเมริกาได้ข้อผ่อนปรนอะไรต่างๆ กลับคืนมาบ้าง

ถ้าจะว่าไปแล้ว สหรัฐอเมริกายุคคุณทรัมป์ เขาแสดงท่าทีมานานแล้วว่า เขาจะต้องดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งกับประเทศที่เขาขาดดุลการค้าด้วยในจำนวนมาก

เขาจึงเริ่มที่จีนด้วยการขึ้นภาษีสินค้าหลายอย่าง เกิดเป็นสงครามการค้า จนในที่สุดก็ต้องมาเจรจาหาทางสงบศึกกัน

นอกจากจีน เขาก็ยังดำเนินการขึ้นกำแพงภาษีกับอีกหลายประเทศ

สำหรับไทยเราเป็น 1 ในประเทศกว่า 20 ประเทศที่ได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ แต่เผอิญไม่มากเหมือนยักษ์ใหญ่ เขาก็รอดูท่าทีมาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เริ่มยิงกระสุนนัดแรกโดยใช้วิธีตัด “จีเอสพี” สำหรับสินค้าบางรายการอย่างที่ว่า

ถ้าจะว่าไปก็เป็นอาวุธที่เบาที่สุดเมื่อเทียบกับที่ใช้ในกรณีของประเทศอื่นๆ เพราะยังไม่ได้ขึ้นอัตราภาษีเพียงแค่ยกเลิกการไม่ต้องเสียภาษี สำหรับสินค้าบางรายการที่เคยยกเว้นให้เท่านั้นเอง

ถามว่าจะสร้างปัญหาให้สินค้าเราหรือไม่? คำตอบก็คือสร้างแน่นอน แต่ถ้าเรารู้ตัว และมีการปรับตัวผลกระทบก็อาจจะไม่มากนัก

ผู้ที่เสนอความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้ถูกใจผมที่สุด ได้แก่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปิติ ศรีแสงนาม แห่งศูนย์อาเซียนศึกษาและเกาหลีศึกษาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เขียนเป็นบทความไว้ในเว็บไซต์ “THE STANDARD” เมื่อ 2 วันก่อน

โดยความเห็นส่วนตัวของท่านอาจารย์…ท่านเชื่อว่าในปัจจุบันผู้ผลิตของไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะสามารถแข่งขันได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพา GSP อีกต่อไปแล้ว

ท่านยกตัวอย่างสินค้าไทยที่ส่งไปขายสหภาพยุโรปที่เราเคยเชื่อว่า GSP มีความสำคัญมากๆ แต่ในที่สุดสินค้าเกือบทุกรายการของเราโดยเฉพาะอาหารทะเลล้วนถูกตัด GSP ไปตั้งแต่ปี 2014/2015

ผลที่เกิดขึ้นก็คือแม้จะไม่มีสิทธิพิเศษทางภาษี หรือแม้จะมีกำแพงภาษีในหลายๆ รายการ แต่มูลค่าการส่งออกของเราไปอียูก็ยังคงขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ท่านยกตัวเลขว่ามูลค่าส่งออกไปอียูปี 2015 อยู่ที่ 23,319 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก็ยังกลายเป็น 28,383 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2018 ได้ด้วยฝีมือและด้วยคุณภาพของสินค้าไทย

ดร.ปิติสรุปว่า…ถ้าจะกล่าวถึงประเทศที่ยังมีกำแพงภาษีแข็งแกร่งและมีมาตรฐานด้านคุณภาพสูงละก็สหภาพยุโรปน่าจะเป็นอันดับต้นๆ

ดังนี้ หากผู้ประกอบการของเรายังสามารถเจาะเข้าตลาดยุโรปได้ นับประสาอะไรกับสหรัฐอเมริกา ซึ่งค่อนข้างจะเปิดเสรีและมาตรฐานต่ำกว่ายุโรปด้วยซ้ำไป เราจะเจาะเข้าไปไม่ได้

ด้วยความเชื่อเช่นนั้น ท่านจึงเสนอว่า “เราควรจะเริ่มศึกษากันว่า หากไม่มี GSP จากสหรัฐฯ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร เพราะหากเราไม่ต้องพึ่งพาสิทธิพิเศษเหล่านี้อีกต่อไป ผมเชื่อว่าอำนาจการต่อรองของไทยกับสหรัฐฯในหลายๆ มิติก็จะมีเพิ่มขึ้น”

“พูดง่ายๆ ก็คือ เราไม่ต้องอ้อนวอนหรือยอมทำโน่นนี่นั่นเพื่อแลกกับ GSP อีกต่อไป”

เป็นบทสรุปที่ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง และหวังว่า บิ๊กตู่ และทีมเศรษฐกิจของท่านจะลองทำอย่างที่ท่านอาจารย์แนะไว้ดูบ้างนะครับ.

“ซูม”