สัปดาห์ที่แล้วในการแข่งขันฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47 ปรากฏว่าทีมฟุตบอลไทยของเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ทีมเวียดนามไป 0–1 ได้เข้าชิงเพียงที่ 3
ในขณะที่เวียดนามเมื่อชนะไทยก็ได้เข้าชิงชนะเลิศกับทีม กือราเซา แม้จะแพ้ยิงลูกโทษไป 4-5 ได้แค่รองแชมป์ แต่ก็สู้อย่างสมศักดิ์ศรี เสมอกือราเซา 1-1 ในเกม จนต้องมายิงลูกโทษ
ตรงข้ามกับทีมชาติไทย ที่ไปชิงที่ 3 กับอินเดีย ซึ่งก็แพ้อินเดียไปซะอีก 1-0 แบบไม่ประทับใจอะไรเลย ได้ตำแหน่งที่ 4 จากการแข่งขัน 4 ทีม จนโดนแฟนฟุตบอลสวดพึมพำอยู่ในขณะนี้
ก็ช่างเถอะ เพราะการแข่งขันกีฬาไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตาย แพ้บ้าง ชนะบ้าง ก็ดูเอาสนุกกันไป และจะสนุกเวลาเราชนะ หรือเป็นทุกข์เวลาเราแพ้ ก็เฉพาะหลังการแข่งขันจบลงเพียงชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น
สิ่งที่ผมรู้สึกเป็นห่วงกังวลหลังนั่งดูฟอร์มทีมฟุตบอลเวียดนามกับทีมฟุตบอลไทย อยู่ที่การแข่งขันในด้านอื่นๆ เสียมากกว่า ซึ่งยุคนี้สมัยนี้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ไม่มีปัญหาอุปสรรคเรื่องลัทธิการเมืองมาขวางกั้นแล้ว เรื่องทะเลาะเบาะแว้งเหมือนในอดีตคงไม่มี
เหลือเพียงการแข่งขันด้านการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการทำมาหากิน การหาเงิน หารายได้เข้าประเทศที่เรากับเวียดนามคงจะต้องขับเคี่ยวกันต่อไปเรื่อยๆ
นี่คือการแข่งขันในชีวิตจริงที่ผลแพ้ชนะจะมีความหมายต่อความสุขและความทุกข์ของผู้คนทั้ง 2 ประเทศโดยตรง
ดูนโยบายการเพิ่มรายได้ให้แก่ประเทศและประชาชนของเขาแล้วก็ไม่ต่างไปจากเราเลย คือเน้นการลงทุนจากต่างประเทศ เน้นการส่งสินค้าออกไปขายต่างประเทศ และเน้นการท่องเที่ยวเป็นหลักใหญ่
ทำให้เรากับเขาจะต้องลงสนามแข่งขันกันอีกหลายๆ เรื่อง หลายๆ สนาม ไม่เฉพาะฟุตบอลเท่านั้น
เช่น จะต้องแข่งขันกันดึงนักลงทุนจากต่างประเทศมาลงทุน จะต้องแข่งขันกันส่งสินค้าออกไปขายต่างประเทศ ทั้งสินค้าอุตสาหกรรมหนัก อุตสาหกรรมเบาไปจนถึงสินค้าเกษตรต่างๆ
ด้านท่องเที่ยวก็จะต้องแข่งกันดึงนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มากที่สุด เราต้องการดึงมาบ้านเรา ส่วนเขาก็คงอยากดึงไปบ้านเขา
ดูฟอร์มจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นขณะนี้ เราทำท่าจะเป็นรองเขาในหลายๆ การแข่งขัน โดยเฉพาะในด้านการลงทุนจากต่างประเทศปรากฏว่ามีคนแห่ไปลงทุนที่เขาอย่างหนาตา ยอดเงินจะมากน้อยแค่ไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าช่วงนี้ใครๆก็อยากไปลงทุนเวียดนามมากกว่าเรา
โดยเฉพาะจีนหลังจากเกิดสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ตัวเลขบ่งชัดว่านักธุรกิจจีนแทบจะยกโรงงานไปเวียดนาม เพื่อหลบสงครามกับคุณทรัมป์ โดยอาศัยเวียดนามเป็นเกราะกำบังในการส่งออก
ทำให้มูลค่าส่งออกจากเวียดนามไปสหรัฐฯ โตพรวดถึง 26 เปอร์เซ็นต์ ในไตรมาสแรก ส่งผลให้มูลค่าส่งออกทั้งหมดของเวียดนามยังโต 4.7 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่ของเราติดลบ
ในแง่การเติบโตของจีดีพีส่วนรวมไตรมาสแรก เวียดนามโตขึ้น 6.7 เปอร์เซ็นต์ อาจจะน้อยกว่าไตรมาสเดียวกันของปีกลายที่โตถึง 7.4 เปอร์เซ็นต์ แต่อย่าลืมว่าก็สูงกว่าของเราที่ขยายตัวแค่ 2.8% เท่านั้นในไตรมาสแรกปีนี้
สินค้าเกษตรของเขาก็บูมมาก ล่าสุดมีทั้งทุเรียน ทั้งมะพร้าว โดยเฉพาะ มะพร้าวน้ำหอม ก๊อปมะพร้าวไทยได้อย่างเหมือนเป๊ะ ส่งไปตีตลาดสหรัฐฯ เรียบร้อย
การท่องเที่ยวเขาก็โหมใหญ่และดูเหมือนจะดึงนักท่องเที่ยวจีนไปได้เยอะเช่นกัน แม้จะยังน้อยกว่าที่มาไทยก็ตาม
อย่างเร็วๆ ผมก็นึกถึงประเด็นที่เราจะแข่งขันกับเขาได้เพียงเท่านี้ …แต่แค่นี้ผมก็หนาวแทนนักธุรกิจไทยแล้วนะครับ
ขอเอาใจช่วยรัฐบาลไทยและนักธุรกิจไทยทุกประเภทอย่างเต็มที่… อย่างที่บอกแหละครับ แพ้บอลแพ้ได้ อย่างเก่งแค่เจ็บใจเท่านั้น
แต่ถ้าแพ้ด้านเศรษฐกิจ ด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยวจะเจ็บทั้งใจและเจ็บตัวด้วย เมื่อรายได้ของประเทศไทยและคนไทย ซึ่งคงไม่ถึงกับลดลงหรอก แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างฝืดเคืองมาก เพราะโดนเวียดนามมาแย่งตลาดของเราไป
ฝากนักการเมืองทั้งหลายที่กำลังแย่งกระทรวงกันอุตลุดในขณะนี้เอาไว้ด้วยนะครับ.
“ซูม”