แค่หนังตัวอย่างยังดุเดือด ดูแล้วเป็นห่วงประเทศไทย

ณ ห้วงเวลาที่ผมลงมือเขียนต้นฉบับวันนี้ เพื่อส่งไปตีพิมพ์ตามเงื่อนเวลาที่โรงพิมพ์กำหนดไว้ ซึ่งก็ประมาณหัวค่ำๆ ของวันพุธที่ 5 มิถุนายนนั้น รัฐสภายังไม่ได้เริ่มโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีกันเลยครับ

ยังมีการอภิปรายเล่นงาน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จาก ส.ส.ของกลุ่มพรรคที่เสนอชื่อคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนายกรัฐมนตรีอย่างดุเดือด จนต้องมีการทักท้วงจากฝ่ายสนับสนุนบิ๊กตู่เป็นระยะ

ผมไม่ได้ฟังตั้งแต่ต้น เพราะมีนัดไปตรวจสุขภาพประจำครึ่งปีที่โรงพยาบาลรามาธิบดี กว่าจะได้กลับมาฟังก็เย็นพอสมควร

ฟังไป 3-4 ราย ต้องยอมรับว่าดุเดือดเลือดพล่านจริงๆ ถือเป็นการต้อนรับน้องใหม่ (ทางการเมือง) ที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัสมิใช่เล่น

แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง ก็ถือว่านี่คือบทเรียนบทแรกของการเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ที่ผู้นำจะต้องทนต่อการอภิปรายของ ส.ส.ในสภาไทยที่อดมิได้ที่จะต้องมีลูกกรีดลูกเชือดเฉือน นอกเหนือไปจากการตำหนิในเนื้อหาอยู่เสมอๆ

เท่าที่ผมฟังมา 3-4 ราย ก็ไม่ได้แตกต่างไปจากยุคป๋าเปรมที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีในแบบประชาธิปไตยครึ่งใบเท่าไรนัก

ซึ่งป๋าท่านก็ทนได้และกัดฟันทนมาถึง 8 ปีเศษ จนในที่สุดก็ได้รับคำชื่นชมจากประชาชน และยอมรับว่าท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีผลงานโดดเด่นท่านหนึ่ง

ก็หวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งผมเดาว่าในการโหวตครั้งนี้ ยังไงๆ ก็คงจะชนะคุณธนาธรได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบหนึ่ง ท่านจะอดทนอดกลั้นได้อย่างป๋าเปรม

จากหนังตัวอย่างที่ผมนั่งดูในวันนี้แล้วมองต่อไปในวันข้างหน้า เห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์เลยกับบทวิเคราะห์ของผู้สันทัดกรณีทางการเมืองต่างๆ ว่ารัฐบาลเหนื่อยแน่

ด้วยเสียงที่ปริ่มนํ้าเหลือเกิน ในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นสภาที่จะผ่านร่างกฎหมายต่างๆ ในเบื้องต้น และหากเป็นกฎหมายสำคัญ โดยเฉพาะกฎหมายเกี่ยวกับการเงินหรืองบประมาณนั้น ส.ส.ของฝั่งพรรคฝ่ายรัฐบาลแทบจะขาดประชุมไม่ได้เลย

ขณะเดียวกัน ด้วยลักษณะนิสัยของ ส.ส.ไทยเท่าที่เราเห็นมาในประวัติศาสตร์การเมืองบ้านเรา มักจะมีการเรียกร้องสูง เอาแต่ใจตนเอง เป็นที่ตั้งและพร้อมจะแปรพักตร์หรือแปรพรรคได้ตลอดเวลา

จำเป็นที่จะต้องมีผู้กำกับเวทีที่มีทั้งบารมี ทั้งอาจจะต้องเตรียมสิ่งจูงใจหลายๆ อย่างเอาไว้ให้พรั่งพร้อม โดยเฉพาะเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่มักเป็นประเด็นใหญ่เสมอในระบบการเมืองไทย

ก็สุดแต่บุญวาสนาของคนไทย หรือประเทศไทยเถอะครับ ว่าต่อจากนี้ไปจะเดินหน้าไปอย่างไร

อะไรจะเกิดก็คงต้องให้เกิด และเมื่อเกิดแล้วก็ขอให้แก้ไขไปตามกฎกติกาที่เรากำลังใช้กันอยู่นี่แหละ

เช่นพอเป็นรัฐบาลแล้วบริหารไม่รอดจะยุบสภาฯ เลือกตั้งใหม่ก็ต้องยุบและต้องเลือกตั้ง

อย่าหันเหไปใช้ระบบอื่นใดอีกเลย

แม้กฎกติกาที่เราใช้อยู่จะยังไม่สมบูรณ์ และอาจต้องปรับปรุงแก้ไขในอนาคต…ก็ขอให้อดทนต่อไปเพื่อไปหาทางแก้กันในวันข้างหน้า

เพียงแต่จะขอร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้าเข้าหากันบ้าง อย่าด่าทอต่อว่าอะไรกันรุนแรงจนไม่มีทางที่จะประสานกันได้ซะเลย

อนาคตของประเทศไทยไม่สามารถแก้ได้โดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวครับ จะต้องแก้โดยทั้ง 2 ฝ่ายร่วมกัน

ผมยอมรับว่า ลึกๆ แล้วผมเป็นห่วงประเทศไทยมาก ยิ่งมองออกไปในโลกกว้างเห็นปัญหาใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกที่รออยู่ก็ยิ่งเป็นห่วงอย่างบอกไม่ถูกเพราะหากเรายังทะเลาะและแบ่งกันเป็นฝักฝ่ายเช่นนี้จะไปแก้ปัญหาอะไรได้ล่ะ

แต่ก็นึกไม่ออกว่าจะเสนอข้อคิดเห็นอย่างไรที่ดีไปกว่านี้ ก็ขอฝากไว้เพียงเท่านี้แหละครับ

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นจากนี้ไป ขอย้ำอีกครั้ง ขอให้แก้ไขกันต่อไปด้วยระบอบประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียว

และขอให้ปรับโทนการอภิปรายให้เบาลงหน่อย ถ้าเป็นไปได้ เพื่อเปิดโอกาสไว้สำหรับการประนีประนอมและความสมัครสมานสามัคคี ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการอยู่รอดของประเทศไทย.

“ซูม”