ยังมองโลก “แง่ดี” สักวัน “ใต้” ต้อง “ร่มเย็น”

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา สถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของเรากลับมารุนแรงขึ้นอีกครั้ง และมีการโจมตีก่อกวนอย่างกว้างขวางในทั้ง 3 จังหวัด

รวมทั้งล่าสุดได้เกิดเหตุที่สะเทือนใจอย่างที่สุด จากการโจมตียิงกราดใส่วัดที่ อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส อันเป็นผลให้พระภิกษุระดับเจ้าคณะอำเภอ และภิกษุลูกวัด รวม 2 รูป ถึงแก่มรณภาพอย่างน่าสลดใจ

เท่าที่ผ่านมา การก่อกวนของกลุ่มบุคคลที่เรียกกันว่า “โจรใต้” ก็ดี หรือ “ผู้ก่อการร้าย” ก็ดี ยังไม่ก้าวล่วงเข้าสู่สถาบันศาสนามากนัก

ดังนั้น เมื่อมีข่าวว่า กลุ่มโจรใต้ถึงขั้นลงมือโจมตีวัดจนพระภิกษุถึง 2 รูปมรณภาพ จึงเป็นเรื่องที่สะเทือนจิตใจพุทธศาสนิกชนอย่างยิ่งยวด ดังที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับพาดหัวข่าวไว้

ผมเองก็อยู่ในสภาพเดียวกัน…ยอมรับว่า เมื่อได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ต่างๆ ในกรณีนี้แล้วก็รู้สึกสะเทือนขวัญ สะเทือนใจ จนในที่สุดก็กลายเป็นความขุ่นใจ และความโกรธแค้น

ต้องใช้หลักธรรมะเบื้องต้นสุดที่พระพุทธองค์สอนไว้ คือ การมี “สติ” เริ่มนับ 1 ถึง 10 ไปเรื่อยๆ เพื่อให้ความขุ่นเคืองคลี่คลายลง

แต่กระนั้นก็คงต้องเรียนว่าแม้จิตของผมจะสงบลงแล้วเพียงใด ก็ตาม แต่จะห้ามไม่ให้กล่าวประณามการกระทำอันโหดเหี้ยมของกลุ่มโจรต่อวัดและพระภิกษุสงฆ์ในครั้งนี้คงไม่ได้เด็ดขาด

เพราะทุกๆ ศาสนาย่อมเป็นที่เคารพบูชาและสักการะของศาสนิกชนที่นับถือศาสนานั้นๆ ไม่ควรที่จะทำการใดๆที่เป็นเชิงก้าวล่วง หรือแสดงให้เห็นว่าไม่เคารพ ไม่ศรัทธาต่อศาสนาดังกล่าวออกมาในทุกๆ กรณี

แม้ในการสงครามก็ยังมีข้อยกเว้นที่จะไม่โจมตีศาสนสถาน หรือโรงพยาบาล ถือเป็นกฎกติกาโดยสากล

ขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องจงสามารถสืบสวนสอบสวนค้นหาตัว

ผู้ก่อเหตุชุดนี้ให้จงได้ในที่สุด เพื่อที่จะดำเนินการจับกุมมาดำเนินคดีตามกฎหมายของบ้านเมืองต่อไป

ในประการต่อมา ผมขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่ง สำหรับญาติโยมและญาติมิตรของผู้เสียชีวิต และผู้บาดเจ็บทุกรูปทุกนาย ทั้งพระภิกษุและฆราวาสในข่าวทุกๆ ข่าวที่เกิดขึ้นในหลายแห่งหลายที่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา

ขอดวงวิญญาณของผู้มรณภาพหรือผู้เสียชีวิตจงไปสู่สุคติ ณ สัมปรายภพ มีความสุข มีความสงบตราบนิรันดร์กาล

รวมทั้งขอขอบคุณและขอชมเชยในความกล้าหาญ ความเสียสละของผู้ที่มีหน้าที่พิทักษ์ไว้ซึ่งดินแดนไทย ตลอดจนพระภิกษุผู้ทำหน้าที่ในการธำรงไว้เพื่อพระพุทธศาสนาทุกรูปไว้ ณ ที่นี้

รวมทั้งขอแผ่ส่วนกุศลไปถึงผู้เสียชีวิตที่ถูกเรียกว่า “โจรใต้” ซึ่งก็เสียชีวิตจากการปราบปรามของฝ่ายเจ้าหน้าที่หลายๆ ศพเช่นกัน

ในฐานะคนไทยด้วยกัน การเสียชีวิตของคนไทย แม้แต่ 1 คน หรือ 2 คน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถือเป็นความสูญเสียของประเทศชาติทั้งสิ้น

หากทุกฝ่ายเข้าใจกัน ไม่จับอาวุธขึ้นมารบราฆ่าฟันกัน บุคคลเหล่านี้ ล้วนแต่จะเป็นประโยชน์ และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติให้ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าไม่มากก็น้อย

ผมยังเชื่อว่าปัญหาของภาคใต้ยังมีทางออกอยู่เสมอ และอยากจะให้ทุกๆ ฝ่ายหันหน้าเข้าหากันเพื่อแสวงหาทางออกให้จงได้ในที่สุด

เมื่อ 2 วันก่อน ผมเพิ่งจะเขียนถึง “กะดีจีน–คลองสานโมเดล” การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของชุมชนเก่าย่านธนบุรี ที่ผมไปพบภาพประทับใจ ผู้นำทางศาสนา พุทธ–คริสต์–อิสลาม จับมือกันทำงานเพื่อชุมชนอย่างอบอุ่น

ผู้คนทั้ง 3 ศาสนา 4 ความเชื่อ ซึ่งล้วนเป็นคนไทยทั้งสิ้น ต่างอยู่ร่วมกันอย่างสมัครสมานสามัคคีมาตั้งแต่ยุคต้นๆ ของกรุงรัตนโกสินทร์ นำความเจริญรุ่งเรือง ความอยู่เย็นเป็นสุขมาสู่ชุมชนตราบเท่าทุกวันนี้

ผมตระหนักดีว่าปัญหาและสถานการณ์ของ 3 จังหวัดภาคใต้ไปไกลมาก มีความปลีกย่อยที่ละเอียดอ่อนและเงื่อนไขที่สับสน ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นักที่จะหาข้อยุติได้

แต่ผมก็ยังหวังและฝันอยู่เสมอว่าด้วยความเป็นคนไทย และเป็นชาติไทยที่มีอะไรหลายๆ สิ่งหลายอย่าง ไม่เหมือนชาติใดในโลกนี้

จะบันดาลให้เกิด “กะดีจีน–คลองสาน โมเดล”…การอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของผู้คนทุกๆ ศาสนาใน 3 จังหวัดภาคใต้ในวันหนึ่งวันใดข้างหน้าอันไม่เนิ่นนานนักจากนี้เป็นต้นไป.

“ซูม”