การเกิดมาเป็นคนจนหรือจู่ๆ ชะตาชีวิตดลบันดาลให้ต้องกลายเป็นคนจนนั้นไม่มีใครที่ไหนในโลกนี้ มีความปรารถนาทั้งสิ้น
เพราะเป็นที่ทราบกันดีแล้วความยากจนเป็นอุปสรรคและปัญหาในการดำเนินชีวิตที่สำคัญที่สุด
ผู้คนทั้งโลกจึงพยายามหลบเลี่ยงความยากจน และพยายามทุกวิถีทางที่จะดิ้นรนให้หลุดพ้นจากความจน
แต่ถ้าเราสังเกตให้ดีๆ ผู้คนใน พ.ศ.นี้กลับมีแนวโน้มที่ต้องการจะแสดงตัวว่าเป็นคนยากจนเพิ่มขึ้น…มีความปรารถนาที่อยากให้คนอื่นมองว่าเราเป็นคนจนด้วยเหตุผลบางอย่างมากขึ้นจึงแกล้งทำจนหรือจนแบบแกล้งๆ ไม่ใช่จนจริงๆ มากขึ้น
ลองไปเดินตามห้างหรือตามศูนย์การค้าต่างๆ ดูเถอะครับ จะเห็นคน “แกล้งจน” โดยเฉพาะสุภาพสตรีตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคนต่างพากันแต่งตัวเลียนแบบคนยากจนกันแทบจะครึ่งห้างเลยทีเดียว
ดูหน้าตาแล้วน่าจะเป็นคนรวย หรือไม่ก็เป็นคนทำงานที่มีรายได้ดีแน่ เพราะสวมเสื้อแบรนด์อย่างดี หิ้วกระเป๋าลูกละหลายหมื่น บางรายก็มีเครื่องประดับราคาแพง ทั้งทองทั้งเพชร แพรวพราวไปทั้งตัว
แต่กลับสวมกางเกงเก่าๆ ขาขาดรุ่งริ่งแบบคนยากจน…เข่าแหว่งบ้าง น่องแหว่งบ้าง เต็มศูนย์การค้าไปหมด
ทำให้ผมนึกถึงสมัยหนุ่มเมื่อ 40 ปีก่อน ช่วงออกตระเวนสำรวจความยากจนในชนบทห่างไกล และพบว่าพี่น้องชาวชนบทยุคโน้นขาดแคลนไปหมดทุกอย่าง รวมทั้งเสื้อผ้า
เด็กนักเรียนต้องสวมเสื้อผ้าเก่าๆ ไปโรงเรียน ขาดกะรุ่งกะริ่ง ขาแหว่งแขนแหว่ง ทั้งกางเกงทั้งเสื้อ เห็นแล้วน่าสงสารเป็นที่สุด
เพิ่งจะหมดไปในยุคหลังๆ เมื่อการพัฒนาของเราดีขึ้น เมื่อคนชนบทพอจะลืมตาอ้าปากได้หันมาซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้ลูกๆ สวมใส่ไม่กะรุ่ง-กะริ่งอีกต่อไป
กลับกลายเป็นว่าสาวชาวกรุงและน่าจะเป็นสาวมีสตางค์เสียด้วยที่หันมาสวมใส่เสื้อผ้าขาแหว่งแขนแหว่งแทนคนจนสมัยก่อนไปเสียฉิบ
มองในแง่ดีก็ต้องถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี แสดงว่าคนรวยบ้านเราไม่รังเกียจคนจนและพร้อมที่จะเป็นคนจนในวันข้างหน้า หากเกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจของประเทศนี้ โดยซ้อมการแต่งตัวกะรุ่งกะริ่งแบบคนจนเอาไว้แล้ว
ถือเป็นการ “แกล้งจน” ที่ “น่ารัก” ที่ผมอยากจะบันทึกไว้เป็นส่วนหนึ่งของเกร็ดประวัติศาสตร์ เผื่อจะมีใครมาอ่านเจอในอนาคต
ขณะเดียวกันก็ต้องบันทึกไว้ด้วยเช่นกันว่าใน พ.ศ.นี้…ก็มีคน “แกล้งจน” ที่น่าเกลียด หรือน่าชิงชังเกิดขึ้นด้วยเหมือนกัน
คนพวกนี้ไม่ได้ใส่กางเกงรุ่งริ่งอะไรทั้งสิ้น บางรายใส่ทองเต็มข้อมือเลย แค่แกล้งทำจนไปขอบัตรสวัสดิการคนจนมาจากเจ้าหน้าที่รัฐ
เจ้าหน้าที่รัฐก็อนุมัติไปได้ยังไงก็ไม่รู้ ถ้าไม่โง่มากก็คงชุ่ยมากๆ ทำให้คนแกล้งจนจำนวนมากได้บัตรสวัสดิการไปอย่างไม่สมควรได้
แล้ววันหนึ่งพอรัฐแจกเงินให้คนจน ก็มีคนแกล้งจนที่น่าชังบางคนมาโพสต์อวดเสียอีกว่าฉันก็มีบัตรเหมือนกัน และได้เงินช่วยเหลือจากรัฐมาเหมือนกัน
คนแกล้งจนประเภทนี้ไม่น่าจะมีเพียงคนเดียวอย่างที่เป็นข่าวแท้ที่จริงแล้วน่าจะมีอยู่มาก เพราะการขึ้นทะเบียนคนจนคราวที่แล้วทำอย่างเร่งรีบ หละหลวมจนเกิดข้อผิดพลาดได้ คนแกล้งจนที่น่าชิงชังไร้จิตสำนึก คิดแต่จะไขว่คว้าหาประโยชน์ใส่ตนเข้าไปเยอะ
ก็เลยต้องมานั่งบันทึกเกร็ดประวัติศาสตร์เอาไว้เช่นกันว่าใน พ.ศ.2561 หรือ ค.ศ.2018 ประเทศไทยมีคน “แกล้งจน” หรือ “อยากจน” อยู่ 2 ประเภท
คือแกล้งจนอย่างน่ารักกับแกล้งจนอย่างน่าชิงชังดังที่กล่าวมา ทั้งหมดข้างต้น
พวกแกล้งจนที่น่ารักเป็นผลพวงมาจากนักออกแบบระดับโลก คนไหนก็ไม่รู้ที่ออกมาสร้างเทรนด์ว่าการใส่กางเกงขาขาดขาแหว่ง ปะบ้าง ชุนบ้างเป็นเรื่องเท่ เรื่องทันสมัย ซึ่งก็มีคนไทยชื่นชอบเทรนด์ดังกล่าวนี้ จำนวนไม่น้อย
ในขณะที่พวกแกล้งจนที่น่าชิงชังนั้นเกิดขึ้นและเป็นผลพวง โดยตรงมาจากนโยบายอุ้มแหลกแจกสะบั้นของรัฐบาลไทย ที่ควรบันทึกไว้ด้วยเช่นกันว่านายกรัฐมนตรีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีคลังชื่ออภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์.
“ซูม”