เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยโดยตัวท่านอธิการบดี ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ เองออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวว่า ดัชนีสถานการณ์คอร์รัปชันไทย สำรวจล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคม มีผลสรุปออกมาค่อนข้างน่าผิดหวังเหตุเพราะความรุนแรงของปัญหาทุจริตคอร์รัปชันสูงขึ้น 37 เปอร์เซ็นต์ และในการคาดการณ์ตลอดปี 2561 หรือปีนี้ ผลก็ออกมาสูงถึง 48 เปอร์เซ็นต์
ท่านอาจารย์ได้กรุณาลงลึกในรายละเอียดต่างๆ อีกหลายๆ ด้าน และอธิบายเป็นตัวเลขอีกหลายๆ ตัว ผมขออนุญาตไม่สรุปซ้ำนะครับ
เพราะเป็นรายละเอียดในเชิงวิชาการและบางข้อมูลก็ยากเกินไปสำหรับท่านผู้อ่านที่อาจไม่ได้เรียนวิชาสถิติมาก่อน
เอาเป็นสรุปว่า ดัชนีต่างๆ ที่ออกมาแสดงว่าสถานการณ์คอร์รัปชันของประเทศไทยกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกก็แล้วกัน
ดังที่สำนวนพาดหัวหน้าข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กรอบแรกประจำวันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ ที่บ้านผมบอกรับระบุไว้ว่า “คอร์รัปชันไทยสูงสุดรอบ 3 ปี”
สำหรับเหตุผลของการกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกนั้น ท่านอาจารย์ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ และธุรกิจของมหาวิทยาลัยหอการค้า ที่มาร่วมแถลงข่าวด้วยอธิบายเพิ่มเติมว่า
“ปัญหาคอร์รัปชันเริ่มกลับมาจากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง ประเมินว่ารุนแรงในรอบ 3 ปี จากการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาล ที่หน่วยราชการภาครัฐและเอกชนพยายามหาช่องว่างในการจ่ายใต้โต๊ะ”
“ผลจากการสำรวจพบว่า ในเดือนธันวาคม 2560 เปอร์เซ็นต์ การจ่ายเงินเพิ่มพิเศษ หรือการจ่ายใต้โต๊ะของเอกชนแก่หน่วยงานรัฐ และนักการเมือง เพื่อให้ได้งาน มีทิศทางเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 5-15 เปอร์เซ็นต์ ของมูลค่างบประมาณลงทุน”
“นับเป็นค่าเฉลี่ยการจ่ายเงินใต้โต๊ะ เท่ากับก่อนหน้าที่จะมีการทำรัฐประหารในปี 2557 ซึ่งการเรียกเงินสินบนเฉลี่ย 5-15 เปอร์เซ็นต์เช่นกัน และทำให้เกิดความเสียหาย 100,000-200,000 ล้านบาท”
คำอธิบายของท่านอาจารย์ ดร.ธนวรรธน์ ชัดเจนมากครับ อ่านเที่ยวเดียว และไม่ต้องมีความรู้ความชำนาญด้านสถิติก็เข้าใจได้ทันที
ผมขออนุญาตแปลไทยเป็นไทยอีกครั้งหนึ่งว่า ณ บัดนาว การจ่ายเงินเพิ่มพิเศษที่เรียกว่าใต้โต๊ะ กลับมาเท่ากับในช่วงระยะเวลาก่อนที่จะมีการปฏิวัติรัฐประหารเรียบร้อยแล้ว
ในตอนแรกๆหลังปฏิวัติ คสช. ท่านย้ำนักย้ำหนาว่า ท่านจะปราบคอร์รัปชันอย่างจริงจัง คงจะทำให้ข้าราชการหรือนักการเมืองซึ่งในกรณีนี้ก็คือผู้มีอำนาจเหนือข้าราชการประจำ ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
เงินใต้โต๊ะจึงลดลงไปพักใหญ่ๆ จนกระทั่งกาลเวลาผ่านไป 3 ปี ทั้งฝ่ายข้าราชการประจำ และฝ่ายเหนือข้าราชการประจำ เริ่มมองเห็นช่องทาง และขณะเดียวกันก็อาจจะรู้สึกว่ารัฐบาลปัจจุบันก็ไม่ได้เอาจริงเอาจังสักเท่าไรนักในเรื่องนี้
ป.ป.ช.ก็ยืดยาดมีเรื่องที่น่าสงสัยเกี่ยวกับคอร์รัปชันหลายๆ เรื่องก็มิได้จัดการอย่างเด็ดขาด
ความเกรงกลัวจึงเริ่มลดลงและเปอร์เซ็นต์การเรียกร้องก็กลับคืนมาจนเท่าเก่าอย่างที่ผลสำรวจล่าสุดระบุไว้
นอกจากอ่านถ้อยแถลงของอาจารย์ทั้ง 2 ท่านในหนังสือพิมพ์ต่างๆแล้ว เมื่อค่ำวันพฤหัสบดีหลังการแถลง ผมมีโอกาสได้ฟังการให้สัมภาษณ์สดของ ดร.ธนวรรธน์ ทางสถานีวิทยุ 100.5 ของ อสมท ที่ผมเปิดฟังเป็นประจำ ขณะนั่งรถกลับบ้านช่วงใกล้ๆ 3 ทุ่ม
ท่านย้ำว่า วิธีการและขบวนการการสำรวจของท่านและคณะเชื่อถือได้ เพราะทำกันมานานจนมีความชำนาญและช่ำชอง และยังทำให้กับธนาคารโลกที่มาสำรวจความโปร่งใสในประเทศเราด้วย
สรุปแล้วผมเชื่อมหาวิทยาลัยหอการค้าครับ และอดที่จะนึกถึงคำพูดของผู้หลักผู้ใหญ่สมัยก่อน วลีหนึ่งที่ว่า “เชื้อชั่วไม่มีวันตาย” เสียมิได้
คอร์รัปชันเป็นเชื้อของความชั่วร้ายที่เกาะกินประเทศไทยมานานเหลือเกินและช่างตายยากเสียจริงๆ
ขนาด “บิ๊กตู่” ท่านมีดาบอาญาสิทธิ์อยู่ในมือและประกาศว่าจะเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ยังเอาไม่อยู่…แค่ 3 ปี กลับมาเท่าเก่าซะแล้วไหมล่ะ เจ้าเชื้อชั่วตัวนี้
มีทางเดียวเท่านั้นแหละที่อาจจะฆ่าเชื้อคอร์รัปชันลงได้บ้าง…คือ จะต้องเอาจริงและใช้ยาแรง…ยังมีเวลาอีกเป็นปีกว่าจะมีเลือกตั้ง
อย่าให้ผลสำรวจปีหน้าออกมาว่าคอร์รัปชันกลับมาหนักกว่าก่อนปฏิวัติเชียวนะครับบิ๊กตู่.
“ซูม”