ปลอบใจ “ผู้แพ้” ด้วยเพลง จาก “นริศ อารีย์” ถึง “เบิร์ด”

เมื่อสายๆของวันที่ 17 พฤษภาคม หลังจากผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการออกมาชัดเจนแล้วว่าพรรคก้าวไกลได้จำนวน ส.ส.มาอันดับ 1 เพื่อไทยอันดับ 2 และภูมิใจไทยอันดับ 3…ก็มีข่าวแพร่สะพัดไปทั่วโซเชียลว่า

ท่านหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้ออกมาโพสต์ข้อความปริศนาข้อความหนึ่ง

ข้อความที่เป็นคำพูดเพียง 9 พยางค์ว่า “คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเอง” นั่นเอง

ที่สื่อบางสำนักสงสัยว่าจะเป็นข้อความ “ปริศนา” หรือจะมี “นัย” อะไรบ้างหรือไม่ ก็เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ข่าว พรรคก้าวไกล เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งจะมี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ กำลังเป็น “พาดหัวใหญ่” ของสื่อทุกแขนง

สำหรับผมเองอ่านแล้วก็ไม่คิดอะไรมาก ตีความแบบง่ายๆ ว่า คุณ อนุทิน ชาญวีรกูล น่าจะโพสต์แบบยอมรับความพ่ายแพ้มากกว่า และในฐานะที่ท่านเป็นแฟนเพลงของ “พี่เบิร์ด” ธงไชย ท่านก็เลยขอยืมเนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่เบิร์ดเคยร้องไว้และฮิตมากเมื่อหลายๆ ปีก่อนโน้นมาโพสต์เท่านั้นเอง

ชื่อเพลง “ก็เลิกกันแล้ว” ไงครับ…มีเนื้อหาในทำนองให้กำลังใจคนอกหัก หรือผู้แพ้ในความรักทั้งหลายรวมทั้งท่อนสำคัญที่ว่า “คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเอง” เบิร์ดร้องแบบเน้นๆ ถึง 3 ครั้งจนติดหูแฟนเพลงยุคนั้น

แฟนเพลงรุ่นเก่าคงจำได้เพลงของแกรมมี่เพลงนี้ดังมากช่วงปี 2551-2552 หรืออาจจะก่อนหน้านั้นเล็กน้อย นอกจากเพลงจะดังแล้ว มิวสิกวิดีโอก็ดังไม่ใช่เล่น เพราะได้ แอน ทองประสม นางเอกละครชื่อดังมาเป็นนางเอกใน MV เพลงดังกล่าว

ถือว่าเป็นเพลงปลอบใจคนแพ้ที่ฮิตมากเพลงหนึ่ง และยังมีอิทธิพลมาถึงยุคปัจจุบัน เพราะเมื่อประมาณปีที่แล้วนี่เอง มีเพลงฮิตในยูทูบเพลงหนึ่งของนักร้องจากภาคใต้ ตั้งชื่อเพลงว่า “คนแพ้ต้องดูแลตัวเอง” มียอดวิวกว่า 2 ล้านวิวล่าสุด

อย่างไรก็ตาม สำหรับคนรุ่นผม ซึ่งเกิดก่อนยุค “เบบี้บูม” 2487 เล็กน้อย จะคุ้นกับเพลง “เก่า” ที่ชื่อว่าเพลง “ผู้แพ้” เสียมากกว่า

เพลงนี้ขับร้องโดย นริศ อารีย์ นักร้องที่เคยโด่งดังระดับเดียวกับ สุเทพ วงศ์กำแหง และ ชรินทร์ นันทนาคร ในยุคก่อน พ.ศ.2500 มาจนถึง 2500 ต้นๆโน่นเลย

เพลง “ผู้แพ้” ฮิตมากเมื่อประมาณ พ.ศ.2496 ไปที่ไหนๆ ก็จะได้ยินวิทยุเปิดแต่เพลงนี้ ซึ่งมีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า “แพ้ไปทุกสิ่งอกเอ๋ย ไม่เหลืออันใดเลย ชะตา เอ๋ย ช่างเลวทราม”

ประพันธ์เนื้อร้องและทำนอง โดย รัก รักพงษ์ ซึ่งเป็นนักเรียนของ โรงเรียนเพาะช่าง ในยุคโน้น และช่วงเย็นๆ จะมีอาชีพเสริมปั่นจักรยานส่งหนังสือพิมพ์ กรอบบ่ายไปตามบ้านต่างๆ ที่บอกรับเป็นสมาชิกควบคู่ไปด้วย

มีเรื่องเล่าว่าบ่อยครั้งที่ รัก รักพงษ์ ปั่นไปถึงบ้านที่กำลังเปิดวิทยุ และเปิดเพลงนี้พอดิบพอดี ซึ่งเขาจะรู้สึกหัวใจพองโตจนอยากจะตะโกนบอกเจ้าของบ้านว่า “ผมแต่งเพลงนี้เองครับ”

แต่แล้วก็ต้องเงียบไว้ เพราะตระหนักดีว่าใครที่ไหนจะมาเชื่อว่าเด็กส่งหนังสือพิมพ์เป็นคนแต่งเพลงดังให้ นริศ อารีย์ ร้อง

เจ้าของนามปากกา รัก รักพงษ์ นี่แหละครับที่เติบใหญ่มาเป็น พระโพธิรักษ์ เจ้าสำนักสันติอโศกในปัจจุบัน

ผมชอบเฉพาะเพลงของท่านนะครับ และเนื่องจากผมยึดมั่นในศาสนาพุทธสายทั่วไปอยู่แล้วจึงมิได้ติดตามฟังหรืออ่านคำสอนของท่านในทางศาสนาแต่อย่างใดเลยต้องกราบขออภัยด้วย

ทุกครั้งที่เวลาผมรู้สึกว่าผมเป็นผู้แพ้ผมจะนึกถึงเพลงๆ นี้ และจะร้องปลอบใจอยู่ 2-3 ท่อน โดยเฉพาะท่อนจบที่ว่า

“แพ้เกมชีวีสิ้นดีทุกอย่าง แต่ก็ภูมิใจไม่จางที่จิตของเขาไม่เลวพ่ายตามยังยิ่งยงเป็นใจดวงงาม แพ้ก็แพ้ชะตากรรมดวงใจทรงความมั่นคง”

ขอมอบเพลงนี้แก่ลุงตู่และผู้แพ้ทุกๆ คนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ขอให้จิตใจแข็งแกร่งเข้าไว้และกลับมาสู้ใหม่เมื่อถึงเวลา

แต่ถ้ารู้สึกว่าเพลงนี้จะเก่าเกินไปจะร้องเพลงเดียวกับคุณอนุทินที่ว่า “คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเอง” ของเบิร์ดก็ได้ครับ.

“ซูม”

ปลอบใจ “ผู้แพ้” ด้วยเพลง จาก “นริศ อารีย์” ถึง “เบิร์ด”, ผล, เลือกตั้ง, การเมือง, อนุทิน ชาญวีรกูล, คนที่แพ้ก็ต้องดูแลตัวเอง, ซูมซอกแซก, พรรคก้าวไกล