WHO ยกเลิก “ฉุกเฉิน” แต่ก็เตือน “โควิดยังไม่จบ”

ก่อนที่ผมจะเขียนถึงเรื่องราวสำคัญที่พาดหัวไว้วันนี้…ผมขอทำหน้าที่พลเมืองดีเรียนท่านผู้อ่านอีกครั้งหนึ่งว่า…จากนี้ไปอีกเพียง 6 วันเท่านั้นนะครับ การเลือกตั้งทั่วไปเพื่อตัดสินอนาคตของประเทศไทยจะเริ่มขึ้นแล้ว

โปรดใช้เวลาใช้ความคิดพิจารณาไตร่ตรองให้รอบคอบนะครับว่าจะเลือกใคร? หรือพรรคใด? และที่สำคัญต้องออกไปเลือกตั้งด้วยนะครับ อย่านอนหลับทับสิทธิเด็ดขาด

สำหรับเรื่องที่ผมจะหยิบยกมาเขียนในวันนี้ ถือเป็น “ข่าวดี” ข่าวหนึ่งของโลกในท่ามกลางข่าวไม่ค่อยดีหลายๆ ข่าวที่เกิดขึ้นในขณะนี้

ได้แก่ข่าวที่เกี่ยวกับ “โควิด-19” ไวรัสมหาภัยของโลกที่ทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงแก่โลกทั้งในแง่คร่าชีวิตมนุษย์ และทำลายเศรษฐกิจอย่างย่อยยับนั่นแหละครับ

ภายหลังการประชุมคณะกรรมการฉุกเฉินว่าด้วยโควิด-19 จบลงเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ท่านผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก นาย ทีโครส อัคฮานอม กีบรีเยซุส ก็ออกมาแถลงว่า “วิกฤติโควิด–19 ในฐานะภัยฉุกเฉิน ด้านสาธารณสุขของโลกได้จบลงแล้ว”

สำนักข่าวต่างประเทศทุกสำนักรายงานตรงกันว่า คณะกรรมการฉุกเฉินขององค์การอนามัยโลกที่ได้รับการแต่งตั้งให้ติดตาม และประเมินสถานการณ์โควิด-19 โดยเฉพาะมีมติเห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์ว่า “พิจารณาข้อมูลในทุกๆ ด้านขณะนี้สามารถกล่าวได้ว่าโควิด–19 ไม่เข้าองค์ประกอบระดับการเตือนภัยสูงสุดอีกต่อไป”

รวมทั้งถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปลี่ยนผ่านวิธีการดำเนินงาน หรือการบริหารจัดการจากวิธีปัจจุบันไปเป็นวิธีการสำหรับ “ระยะยาว”

อย่างไรก็ตาม ท่าน ผอ.อนามัยโลก ก็เตือนเอาไว้ด้วยนํ้าเสียงหนักแน่นว่า “ไวรัสนี้ยังคงอยู่กับเรา มันยังคงเข่นฆ่าเราอยู่ และยังอาจมีการพัฒนาตัวมันได้อีก”

“สิ่งที่ทุกประเทศไม่ควรทำอย่างยิ่งก็คือการใช้ข่าวใหม่ล่าสุดนี้ไปเป็นเหตุผลของการปล่อยปละละเลย ประมาท หรือรื้อถอนระบบต่างๆ ที่เราช่วยกันสร้างขึ้นมาทั้งโลกออกไปโดยสิ้นเชิง–รวมทั้งการนำไปสื่อสารถึงประชาชนว่า…ไม่มีอะไรจะต้องกังวลอีกแล้วเกี่ยวกับโควิด-19”

นับตั้งแต่วันแรกที่องค์การอนามัยโลกประกาศให้การระบาดของโควิด-19 เป็นโรค “ระบาดใหญ่” เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ.2020 หรือ พ.ศ.2563 มาจนถึงวันที่ประกาศว่า ผ่านพ้นขั้นฉุกเฉิน เมื่อวันศุกร์ที่ 5 พ.ค.นั้น ข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์ ระบุไว้ว่า

จำนวนผู้ติดเชื้อทั่วโลกรวมทั้งสิ้น 687 ล้าน 6 แสนคนเศษ เสียชีวิตไปทั้งสิ้น 6,870,751 (หกล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นเจ็ดร้อยห้าสิบเอ็ด) คน

มากที่สุดก็คือสหรัฐฯ ติดเชื้อกว่า 106 ล้านคน และเสียชีวิตกว่า 1 ล้าน 1 แสน 6 หมื่นคน รองลงมาก็คืออินเดียติดเชื้อ 44 ล้าน 9 แสน คนเศษ และเสียชีวิตไปแล้ว 5 แสน 3 หมื่นคนเศษ

สำหรับไทยเราติดเชื้อทั้งสิ้น 4,732,301 คน (สี่ล้านเจ็ดแสนสามหมื่นสองพันสามร้อยเอ็ด) คน เป็นอันดับที่ 32 ของโลก และเสียชีวิตไป 33,957 ราย เป็นอันดับ 34 ของโลก

ยังจำภาพความโกลาหลอลหม่านของการระดมบุคลากรการแพทย์ตลอดจนระดมโรงพยาบาลทุกแห่งหนรวมทั้งสร้างโรงพยาบาลชั่วคราวอย่างฉุกละหุก เพื่อรองรับผู้คนที่ติดเชื้ออย่างรวดเร็วทั่วโลก

รวมไปถึงความโกลาหลอลหม่านที่จะจัดการกับศพของผู้เสียชีวิตจนหลายๆ ประเทศไม่มีสถานที่เก็บอย่างพอเพียง

แม้ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่มหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์บันทึกไว้จะอยู่ที่ 6 ล้าน 8 แสนเศษ ดังกล่าวข้างต้น แต่ผู้อำนวยการอนามัยโลกประมาณการว่าของจริงอาจมากกว่า 3 เท่าตัว

จนกระทั่งเมื่อวิทยาศาสตร์การแพทย์สามารถคิดค้นวัคซีนได้ และในเวลาเดียวกันเชื้อก็เริ่มกลายพันธุ์จนความรุนแรงลดลงเป็นผลให้ยอดติดเชื้อทั่วโลกลดลงเหลือแค่วันละ 60,000 เศษๆ และยอดเสียชีวิตรวมกันทั่วโลก เมื่อวันประกาศยกเลิก “ฉุกเฉิน” ก็เหลือแค่ 424 รายเท่านั้นเอง

แต่ก็อย่างที่ท่านผู้อำนวยการอนามัยโลกท่านแถลงไว้ อย่างไรเสียก็ยังมีการเสียชีวิตอยู่ มันอาจไม่ใช่วันละเรือนหมื่นเรือนแสนอย่าง ในช่วงระบาดหนักแต่ก็ยังวันละหลายๆ ร้อยจึงจำเป็นที่จะต้องดำเนินชีวิตอย่างไม่ประมาทกันต่อไป

รวมทั้งประเทศไทยและคนไทยเราด้วยนะครับ…ไปใช้สิทธิใช้เสียงเลือกตั้งให้เต็มที่ แต่อย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยและล้างมือด้วยแอลกอฮอล์หลัง “กากบาท” เรียบร้อยแล้วว่างั้นเถอะ.

“ซูม”