“อาทิตย์ตก” ที่ริมฝั่งโขง ของฝากจาก “หลวงพระบาง”

ผมเรียนท่านผู้อ่านแล้วว่า ผมชะแว้บไปหลวงพระบาง สาธารณรัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาวมา 3 วัน กับ 2 คืน แต่ที่ยังไม่เขียน “เล่าลาว” เหมือนคุณ “กิเลน ประลองเชิง” หน้า 3 ก็เพราะผมยังติดค้างเรื่อง “เล่าน่าน” อยู่

เรื่องราวของ “น่านแซนด์บ็อกซ์” เพื่อหาวิธีลดการตัดไม้ทำลายป่า และให้คนอยู่กับป่าได้อย่างมีความสุขนั่นแหละครับ

ตั้งใจว่าจะเขียนสัก 3 วัน ให้พอดีกับระยะเวลาที่เดินทางไป สปป.ลาว แต่พอเปิดสมุดบันทึกที่จดมาจากคำพูดของคุณ บัณฑูร ล่ำซำ ดูอีกที พบว่ามีเรื่องราวน่าสนใจมากมาย จึงขยายเวลาไปถึง 5 วันเลยทีเดียว

เพิ่งจะได้โอกาสเขียนถึงเมืองมรดกโลกของ สปป.ลาวในวันนี้ หวังว่าคงไม่ช้าจนเกินไปนัก
ผมเองถือว่าดวงสมพงศ์กับหลวงพระบาง เพราะมีโอกาสไปเยี่ยม เยือนถึง 3 ครั้ง 3 หนในชีวิตนี้ รวมทั้งครั้งนี้ด้วย

ไปแต่ละครั้งก็กลับมาเขียนเล่ายาวเหยียดครบถ้วนทุกเรื่องทุกสถานที่ท่องเที่ยวเท่าที่มีอยู่ในหลวงพระบางและรอบๆ หลวงพระบาง

ครั้งที่เขียนเยอะที่สุด ทั้งคอลัมน์ประจำวัน และคอลัมน์ซอกแซกก็คือครั้งแรกที่ไปน่าจะกว่า 10 ปีแล้ว…กับคณะของคุณหญิง ประณีตศิลป์ วัชรพล เจ้านายใหญ่ของพวกเรา

นับเป็น “ทัวร์ไหว้พระ” ที่สมบูรณ์แบบทัวร์หนึ่ง ไหว้ทุกวัน วันละ หลายๆ วัดระหว่างอยู่ที่โน่น รวมทั้งตื่นตี 5 ไปใส่บาตรข้าวเหนียวยามเช้าตรู่ ที่เป็นสัญลักษณ์ของหลวงพระบาง ใครไปที่นี่แล้วไม่ได้ใส่บาตรข้าวเหนียวถือว่ายังไปไม่ถึง…ว่างั้นเถอะ

สำหรับโปรแกรมไหว้พระเที่ยวนี้ ปรากฏว่าเหมือนกันเป๊ะ มีเพิ่มอยู่วัดเดียว คือ “วัดล่องคูน” วัดที่พระมหากษัตริย์ลาวก่อนขึ้นครองราชย์จะต้องมาผนวชตามราชประเพณี

ก็ปรากฏว่า คุณ กิเลน ประลองเชิง ได้เขียน “เล่าลาว” ไว้ในคอลัมน์ “ชักธงรบ” เมื่อวันศุกร์ที่แล้วมีทั้งเหตุการณ์ปัจจุบัน และเรื่องราวในอดีตครบถ้วน ใครยังไม่ได้อ่านอย่าลืมกลับไปอ่านกันเสียนะครับ

สำหรับผมขอเล่าต่อถึงเหตุการณ์หลังไหว้พระที่ “วัดล่องคูน” ก็แล้วกัน เพราะเป็นอีกหนึ่งความประทับใจที่เป็นของใหม่สำหรับผมในการไปเยือนหลวงพระบางครั้งนี้

เนื่องจากวัดล่องคูนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับวัด เชียงทอง วัดดังมากๆ วัดหนึ่งของหลวงพระบาง การเดินทางไปที่วัดนี้จึงต้องอาศัย “เรือ” เป็นพาหนะ

ซึ่งก็เป็นเรือที่ต่อขึ้นสำหรับการนั่งท่องเที่ยวชมวิวลอยล่องไปตามแม่น้ำโขงนั่นเอง ลักษณะคล้ายๆเรือข้ามฟากแถวๆ ท่าพระจันทร์-ศิริราช หรือท่าช้าง-วัดระฆังฯ แต่ลำยาวกว่านิดหน่อยออกแบบให้มีที่นั่งพักผ่อนสบายๆ ในลำเรือมีบาร์เล็กๆ สำหรับวางอาหารวางกับแกล้มและเครื่องดื่มต่างๆ รวมทั้งมีห้องน้ำในตัวด้วย

หลังจากพวกเรานั่งเรือท่องเที่ยวลำนี้ข้ามฟากขึ้นบันไดประมาณ 80 ขั้น ไปไหว้พระวัดล่องคูนและรับพรจากคณะสงฆ์จบแล้ว ก็กลับมาลงเรือล่องไปตามลำน้ำโขงจนถึงเย็นๆ ค่ำๆ

บรรยากาศทั้ง 2 ฝั่งแม่น้ำก็คล้ายต่างจังหวัดบ้านเรา ยังคงสภาพ เป็นหมู่บ้านชนบทปลูกผักปลูกพืชและมีต้นไม้เขียวครึ้มอยู่ด้านหลัง

มองในแง่ความงามและความสงบ ประกอบกับมีลมเย็นๆ พัดโชยอยู่ตลอด ดังนั้น ระหว่างที่เรือแล่นไปนั้น จึงเป็นความสุขและความเพลิดเพลิน เจริญหูเจริญตาและเจริญใจไปอีกแบบหนึ่ง

จนกระทั่งเกือบ 6 โมงเย็น เรือก็ไปจอดนิ่งที่บริเวณหนึ่งกลางลำนํ้า มองเห็นภูเขาอยู่ไม่ไกลนัก และมีเรือของนักท่องเที่ยวอื่นๆ อีก 5-6 ลำ มาจอดลอยอยู่ใกล้ๆ กัน

วัตถุประสงค์หลักของนายท้ายเรือก็เพื่อจะให้พวกเราได้เห็นได้ดูได้ชม “พระอาทิตย์ตกดิน” ที่ริมแม่น้ำโขง เมืองหลวงพระบาง นั่นเอง

ผมเป็นคนโชคดีมีโอกาสเดินทางไปดูพระอาทิตย์ตกดินมาแล้ว หลายๆ ประเทศ ชอบที่สุดคือ แหลมพรหมเทพ ภูเก็ต, เกาะบาหลี อินโดนีเซีย, อ่าวซิดนีย์ ออสเตรเลีย, แม่น้ำหวงผู่ เซี่ยงไฮ้ และ เทือกเขาร็อกกี้ เมาเทนส์ ที่เมืองโบลเดอร์ รัฐโคโลราโด (ตอนไปเรียนหนังสือ)

ขออนุญาตลงบันทึกไว้ด้วยว่า “ตะวันลับเหลี่ยมเขา” ที่แม่น้ำโขงหลวงพระบาง สปป.ลาว สวยไม่ใช่เล่น…ยกให้เป็นหนึ่งในความประทับใจของผมเช่นเดียวกัน.

“ซูม”