ช่วงนี้อากาศกำลังเย็นสบาย อุณหภูมิใน กทม.ลดมาต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียสอีกครั้งหนึ่งแล้ว และน่าจะเย็นต่อไปถึงวันปีใหม่โน่นเลย จากคำทำนายของกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งช่วงหลังๆ นี้ ค่อนข้างจะแม่นยำมากๆ
ผมขออนุญาตทำหน้าที่ให้เข้าบรรยากาศของลมหนาว เขียนเรื่องสบายๆ ไม่เคร่งเครียดมากมายนัก เป็น ส.ค.ส.ส่งความสุข แด่ท่านผู้อ่านส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ไปพลางๆ ก็แล้วกัน
ท่านผู้อ่านที่เป็นนักฟังเพลงและติดตามฟังจากวิทยุหรือทั้งชมทั้งฟังจากยูทูบคงจะทราบดีแล้วว่า ณ นาทีนี้มีเพลงไทยที่ฮิตมากอยู่เพลงหนึ่ง ชื่อออกจะโบราณๆ หน่อยๆ แต่ยอดวิวกระฉูดเกินหลัก 150 ล้านไปเรียบร้อย หลังจากที่ลงยูทูบได้เพียง 5-6 เดือนเท่านั้น
เพลง “นะหน้าทอง” ไงครับ…ขับร้องโดยนักร้องหนุ่มที่ใช้นามแฝงว่า “โจอี้ ภูวศิษฐ์” หรือมีนามจริงว่า ภูวศิษฐ์ อนันต์พรสิริ จากจังหวัดร้อยเอ็ด แดนดินถิ่นอีสานนั่นเอง
ถามว่า…เหตุใดเพลงนี้ถึงได้ฮิตนัก คำตอบแรกเลยน่าจะเป็นเพราะ โจอี้ ร้องได้ดีมาก ท่วงทำนองไพเราะมาก เนื้อร้องโดนใจมาก แถมมิวสิกวิดีโอก็สวยและน่ารักมาก…ลงตัวพอดิบพอดี
ที่สำคัญเพลงนี้เป็นเพลงที่สะท้อนความเชื่อถือของชาวไทยเราจำนวนไม่น้อย ทั้งที่เคยเป็นมาในอดีตและยังเป็นอยู่ในปัจจุบัน คือยังเชื่อถือในเวทมนตร์คาถาต่างๆ อยู่พอสมควร
“นะหน้าทอง” เป็นชื่อของเวทมนตร์คาถาบทหนึ่ง และการกระทำอย่างหนึ่งที่จะส่งผลให้การร่ายเวทมนตร์บทนี้ได้รับความรัก ความชอบ ความชื่นชมจากผู้คนอื่นๆ รอบด้าน
เป็นหนึ่งในคาถาชุดเมตตามหานิยมที่คนไทยในชนบทคุ้นเคย
ผมเองก็รู้จักกรรมวิธีลง “นะหน้าทอง” ตั้งแต่ยังเป็นเด็กอายุ 9 ขวบ 10 ขวบด้วยซ้ำ เพราะเพื่อนๆ รุ่นพี่อายุรุ่นกระทง 14-15 ปี มาคุยให้ฟังว่า พวกเขาไปลง “นะหน้าทอง” กับหลวงตารูปหนึ่งที่วัดข้างบ้านมาแล้ว รับรองพวกนักเรียนหญิงจะต้องหลงใหลเขาแน่นอน
ต่อมาเมื่อผมโตขึ้น มาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ มีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนๆ จากหลายจังหวัดทั่วประเทศที่มาเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ ด้วยกัน…ทำให้ทราบว่า การลงนะหน้าทองและคาถานะหน้าทองเป็นที่แพร่หลายในทุกๆ จังหวัด
เพื่อนจากภาคใต้บางคนบอกว่าเคยลงมาแล้วด้วยซ้ำ
ผมเข้าใจว่า จากวันนั้นมาถึงวันนี้ คาถานะหน้าทองก็น่าจะยังเป็นที่นิยมอยู่ในบ้านเรา…โดยเฉพาะในต่างจังหวัด จึงทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตอย่างรวดเร็วทะลุ 150 ล้านวิว เพียงแค่ 6 เดือนดังกล่าว
ในตำนานว่าด้วยเรื่องมนตร์คาถาระบุว่า “นะหน้าทอง” มาจาก เรื่อง “รามเกียรติ์” ซึ่งตัวเอกตัวหนึ่ง ได้แก่ พระลักษมณ์ ผู้มีพระพักตร์เป็นสีทองนั่นเอง
ในการแสดงโขนก็จะตกแต่งให้ใบหน้าพระพักตร์ออกทางสีทองๆ จนกลายเป็น “พระลักษมณ์หน้าทอง” ในที่สุด
การลงนะหน้าทอง จึงเหมือนกับอัญเชิญ “พระลักษมณ์” ไปประดับไว้ที่หน้าผากของผู้อัญเชิญนั้นๆ โดยใช้ “แผ่นทอง” เป็นสัญลักษณ์
พูดก็พูดเถิดครับ เรื่องของเวทมนตร์คาถาต่างๆ นั้น เมื่อมาถึงยุค 4.0 หรือยุคไฮเทคสุดขีดอย่างทุกวันนี้ คงไม่มีใครเชื่ออีกแล้วละว่า จะศักดิ์สิทธิ์จริง
แต่คาถาบางอย่าง ความเชื่อบางอย่าง ที่เป็นความเชื่อมาแต่โบราณ และเมื่อเชื่อแล้วทำให้ผู้คนรู้สึกดีขึ้นคิดดีขึ้น ไม่ทำร้ายไม่เบียดเบียนคนอื่น อย่างเช่น คาถา “นะหน้าทอง” ดังกล่าว หากจะยังคงมีอยู่ หรือเก็บไว้ให้เป็นวัฒนธรรมหรือความเชื่อแบบไทยๆ ผมก็ว่าไม่เสียหายอะไร
เพราะอย่างไรเสีย “นะหน้าทอง” ซึ่งเป็นคาถาทำให้คนรักไม่ว่าจริงหรือไม่จริง ย่อมดีกว่า “นะหน้างอ” หรือ “นะหน้าหงิก” แน่นอน
เพราะทั้ง 2 บทหลังนี้ ไม่ต้องท่องอะไร แค่ทำหน้างอหรือหน้าหงิกเท่านั้นผู้คนก็ “โกรธ” หรือ “หมั่นไส้” แล้วละ
เขียนแล้วก็นึกถึง “บิ๊กตู่” ที่ประกาศสู้ต่อในทางการเมือง เป็นข่าวโด่งดังขึ้นหน้า 1 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับเมื่อ 2 วันก่อนเสียมิได้
หมั่นท่องคาถา “นะหน้าทอง” ไว้บ้างนะครับท่าน มัวแต่ท่อง “นะหน้างอ” บ้าง “นะหน้าหงิก” บ้าง…สื่อแหย่นิดแหย่หน่อย “งอๆ หงิกๆ” ไปหลายวันแบบนี้
ระวังสมาชิกพรรคจะสอบตกเป็นแถวๆ ได้ไม่ถึง 25 เสียง หมดสิทธิเสนอชื่อท่านให้รัฐสภาเลือกเป็นนายกฯละก็…เสียดายแย่เลยครับ.
“ซูม”