“อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” “คาถา” ปลอบใจ “คนไทย”

ทุกครั้งที่มีเหตุวุ่นวายทางการเมือง หรือมีการทะเลาะเบาะแว้ง เพราะขัดแย้งทางด้านความคิดความเชื่อระหว่างบุคคล 2 กลุ่ม หรือหลายๆกลุ่ม จนนำไปสู่การเผชิญหน้าและมีแนวโน้มว่าจะหยุดไม่อยู่ อันจะทำให้บ้านเมืองได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจที่จะต้องหยุดชะงักลงไปนั้น

ผมมักจะหยิบคาถาประจำตัวที่ผมใช้ท่องปลอบใจตัวเองมากว่า 40 ปีแล้ว มาท่องใหม่อยู่เสมอๆ

นั่นก็คือคาถาบทที่ว่า “อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด” หรือ Whatever will be, will be ในภาษาอังกฤษ หรือ Que Sera Sera (เกว เซรา เซรา) ในภาษาสเปนนั่นเอง

จำได้ว่าก่อนเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 บ้านเมืองไทยเราแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ซ้ายขวาอย่างแจ้งชัด และมีการปลุกระดมเตรียมตัวที่จะแตกหักกันเป็นเวลาหลายๆ เดือน

ประสาคนรักสงบอยากเห็นประเทศไทยก้าวเดินไปข้างหน้าไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หันมาจับมือกัน หรือร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ผมก็ออกมาเขียนเป็นเชิงห้ามทัพอยู่หลายครั้ง

แต่ยิ่งเขียนผู้คนก็ยิ่งทะเลาะกันแรงขึ้น จนผมรู้สึกท้อแท้เขียนแสดงความท้อถอยผ่านคอลัมน์นี้…ซึ่งก็มีท่านผู้อ่านท่านหนึ่งเขียนจดหมายมาปลอบประโลมให้กำลังใจ พร้อมมอบคาถาบทนี้ให้ผม

ท่านบอกให้ผมไปหาเพลง whatever will be, will be มาฟังเสีย และให้โยงเพลงนี้เข้ากับพระธรรมคำสอนของพุทธศาสนา จะทำให้เราสบายใจขึ้นไม่เครียดและไม่ทุกข์ร้อนจนเกินเหตุ

ผมเชื่อท่าน จึงไปหาซื้อเทปเพลงเก่าๆ ที่บันทึกเพลงนี้เอาไว้มาเปิดฟัง…ฟังหลายๆ ครั้งเข้าก็ “บรรลุ” คือสามารถที่จะทำใจและตัดใจได้ในที่สุด

เพลง whatever will be, will be ที่ว่านี้ขับร้องโดย Doris Day เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง “The Man Who Knew Too Much” ของ อัลเฟรด ฮิตช์ค็อก ราชาภาพยนตร์เขย่าขวัญที่โด่งดังทั่วโลกเมื่อ 50-60 ปีก่อนโน้น

ภาพยนตร์และเพลงนี้ออกเผยแพร่ในปี 2499 ซึ่งผมยังเป็นนักเรียนอยู่ต่างจังหวัด จึงไม่มีโอกาสได้ดู เพราะที่โน่นจะมีฉายแต่ภาพยนตร์ไทย และก็ไม่ได้ฟังเพลงด้วย เพราะส่วนใหญ่จะเปิดแต่เพลงลูกทุ่ง

ผมมารู้จักเพลงนี้ตอนมาเรียนเตรียมอุดมที่กรุงเทพฯ แล้ว…โดยเพื่อนๆ ชาวกรุงที่ถนัดเพลงสากลที่โรงเรียนเตรียมฯ นั่นแหละเอามาร้องให้ฟัง…ฟังแล้วก็ติดใจและไม่นานนักก็ร้องได้และพลอยชอบเพลงนี้ไปด้วย

ดอริส เดย์ เล่าเรื่องผ่านเพลงนี้ว่าตอนเด็กๆ เธอเคยถามคุณแม่ของเธอว่าโตขึ้นหนูจะเป็นอย่างไรบ้าง? จะสวยไหม? จะรวยไหม? แม่ก็ตอบว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่รู้…เกว เซรา เซรา…อะไรจะเกิด มันก็เกิดนะลูก

ตอนโตขึ้นเธอไปถามแฟนแฟนก็ตอบ เกว เซรา เซรา อะไรจะเกิดมันก็เกิดแหละเธอ ไม่มีใครรู้อนาคตหรอก

ดังนั้น เมื่อเธอมีลูกๆ ด้วยตนเอง และลูกเข้ามาถามถึงอนาคต เธอจึงตอบว่า whatever will be, will be หรือ เกว เซรา เซรา ด้วยเช่นกัน

ซึ่งก็สอดคล้องกับพุทธศาสนาของเรา ที่สอนว่าอนาคตเป็นเรื่องไม่แน่นอน มีทั้งสุขทั้งทุกข์รออยู่ เราไม่มีทางจะรู้ได้

แต่เราก็สามารถที่จะรับมือกับมันได้ โดยจะต้องมีสติ และเตรียมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ด้วยใจที่สงบและมั่นคง

ไม่ดีใจเกินเหตุ ไม่เสียใจเกินเหตุ และถ้าเราจะต้องประสบกับความทุกข์ก็ขอให้หาทางแก้ปัญหา และทางออกด้วยสติและปัญญา

สติและปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เราสามารถผ่านอนาคตที่ไม่มีทางจะรู้ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นไปอย่างราบรื่นในที่สุด

ด้วยจดหมายท่านผู้อ่านฉบับนั้นและด้วยการฟังเพลงของดอริส เดย์ที่ท่านแนะนำมา ผมก็เลยยึดเพลงนี้เป็นคาถาประจำใจ และหยิบมาร้องปลอบใจตัวเองทุกครั้งที่มีปัญหาทางการเมืองอันวุ่นวายเกิดขึ้นในบ้านเรา

บัดนี้บ้านเมืองทำท่าจะวุ่นขึ้นมาอีกแล้ว เมื่อจะมีการประท้วงเรื่องการเป็นนายกรัฐมนตรี 8 ปี ของพลเอกประยุทธ์ ถึงขนาดว่าจะมีการเดินขบวนไปบุกทำเนียบกันเลยทีเดียว…ผมก็คงต้องร้องปลอบใจตัวเองอีกหน

whatever will be, will be อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด…ทำไงได้ล่ะมีแต่คนเลือดร้อนกันทั้งนั้นในบ้านเมืองเรา ยังไงๆ ก็ขอให้ใจเย็นลง ใช้สติใช้ปัญญากันทุกๆ ฝ่ายนะโยมนะ เรื่องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญแล้ว รอให้ศาลท่านพิจารณาเสียก่อนเถิด…อย่าไปกดดันท่านเลย.

“ซูม”

ข่าว,​ 8 ปี, นายก, ศาลรัฐธรรมนูญ, การเมือง, คาถา, คนไทย, ซูมซอกแซก