“สัญญาณดี” เริ่มขึ้นแล้ว ได้เวลา…“คืนสู่สามัญ?”

สัปดาห์ที่แล้วผมมีนัดตรวจร่างกายตามปกติกับคุณหมอ 2 หมอ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญคนละโรคของโรงพยาบาลรามาธิบดี คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

คุณหมอท่านแรกดูแลผมเรื่องนิ่ว เรื่องไต เรื่องต่อมลูกหมาก นัดตรวจที่ ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ ซึ่งตั้งอยู่บริเวณสี่แยกตึกชัย หัวมุมสุดของถนนพอดิบพอดี

ซึ่งผมก็ไปตามนัด ตรวจตามนัดไม่พบสิ่งใดผิดปกติจึงรับยากลับบ้าน ชุดใหญ่ไปกินต่อดังที่เคยปฏิบัติมา

ความผิดปกติหนึ่งเดียวที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวกับตัวผม…แต่เกี่ยวกับโรงพยาบาลครับ เพราะผมรู้สึกว่า จอคอมพิวเตอร์ยักษ์พร้อมกล้องที่ตั้งตระหง่านบริเวณทางเข้า ซึ่งจะมีช่องบังคับให้ทุกคนเดินผ่านเพื่อตรวจอุณหภูมิร่างกายเสียก่อนนั้น…หายไปจากที่ตั้งเรียบร้อย

ผู้คนสามารถเดินเข้าเดินออกได้อย่างเสรี ไม่มีใครมาคอยคุมเรื่องตรวจอุณหภูมิแต่อย่างใด

รุ่งขึ้นผมมีนัดกับคุณหมอที่ผ่าตัด “บายพาส” หัวใจให้ผมเมื่อ 7 ปีที่แล้ว และยังคงตรวจเป็นปกติทุกๆ 4 เดือน ที่ตึก ศูนย์การแพทย์ สิริกิติ์ ซึ่งอยู่ในอาคารบริเวณโรงพยาบาลรามาธิบดีดั้งเดิม

ที่ตึกนี้ในช่วงโควิดระบาดก็จะมีจอคอมพิวเตอร์ขนาดยักษ์และกล้องที่คอยส่องวัดอุณหภูมิคนเข้าตึกเช่นกัน…แต่เมื่อวันพุธที่แล้วก็หายไปจากบริเวณประตู คล้ายๆ กับที่ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์

แต่ที่ทำให้ผมร้องไชโยออกมาดังๆ ก็เพราะ ณ ตึกนี้มีประตูด้านข้าง อยู่ประตูหนึ่ง ซึ่งใช้เชื่อมกับอีกหลายๆตึกที่อยู่ด้านหลัง รวมทั้งใช้เดินออกไปสู่ทางเดินเข้าโรงอาหารได้อย่างสะดวกมาก

ปรากฏว่า ประตูด้านนี้ที่เคยปิดตายมาตลอดช่วงโควิดระบาดและใส่กุญแจไว้แน่นหนาพร้อมแผ่นป้าย…“ขออภัยโปรดใช้ประตูด้านหน้า” นั้น…กลับมาเปิดใช้สำหรับเข้าออกเหมือนเดิมเรียบร้อย

ทำให้ผมถึงบางอ้อในวินาทีนั้นเองว่า โรงพยาบาลรามาธิบดี เลิก “คุมเข้ม” แล้วจริงๆ ในทั้ง 2 ตึกใหญ่ของโรงพยาบาล

ถ้าเป็นสถานที่อื่นเลิกคุมเข้มแบบนี้ยังมีโอกาสสันนิษฐานได้ว่าหลงลืมหรือประมาทเลินเล่อ แต่นี่คือหน่วยรบที่สำคัญที่สุดหน่วยหนึ่งของประเทศไทยในการทำสงครามโควิด-19 มาตลอด 2 ปีเศษๆ หันมาผ่อนคลายการเข้าออกหน่วยรบของตนเอง

เราไม่มีทางสันนิษฐานเป็นอย่างอื่นหรือคิดในทางลบใดๆ ได้เลย …นอกจากจะเผยอปากยิ้มด้วยความดีใจ…แสดงว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะ “กลับสู่สามัญ” ตามสำนวนกำลังภายในอย่างแน่นอน

ต่อมาอีก 2 วัน ตรงกับวันเสาร์ หลานๆ ซึ่งอยู่ด้วยกันมาเกือบ 2 ปี ระหว่างเรียนออนไลน์ แวะกลับมาเยี่ยมหลังจากยกครัวไปอยู่บ้านตามเดิม เพื่อเรียน “ออนไซต์” ที่โรงเรียนใกล้บ้านตามปกติ

เราชวนกันไปดู “ไดโนเสาร์” ที่ เอ็มควอเทียร์ ซึ่งเขาจัดทำขึ้นเป็นรายการพิเศษสร้างเป็นสวนไดโนเสาร์ขนาดเล็กมาให้เด็กๆ ดูชมและถ่ายรูป รวมทั้งจะขึ้นขี่ก็ได้คิด 5 นาที 100 บาท

ไปถึงก็ชื่นใจแทนคุณ ศุภลักษณ์ อัมพุช ซีอีโอใหญ่ เครือ เดอะมอลล์ กรุ๊ปส์ ซึ่งเป็นเจ้าของกิจการ เอ็มควอเทียร์-เอ็มโพเรียม อยู่ด้วย…เพราะเด็กๆ ไปอุดหนุนแน่นขนัด ถึงขนาดต้องเข้าคิวขึ้นขี่ไดโนเสาร์…

ต่อมาเมื่อเดินข้ามไปหาอะไรรับประทานทางฝั่ง เอ็มโพเรียม ต้องผ่านห้องโชว์สินค้าแบรนด์เนม 2 ยี่ห้อ ปรากฏว่ามีลูกค้านักท่องเที่ยวมารอคิวเข้าชมกว่า 20 ราย จากที่ไม่เห็นเลยสักคนก่อนหน้านี้

นี่ก็ต้องดีใจและถือเป็น “สัญญาณ” ที่ดีมากอีกประการหนึ่ง

กินอาหารเย็นเสร็จเกือบ 3 ทุ่ม ขณะนั่งรถกลับบ้านผมก็เปิดมือถือดูข่าวไทยรัฐออนไลน์ไปด้วย

เห็นพาดหัวข่าวว่า “โจ๋ทะลุแก๊ส ปาบึมปะทะเดือดเผารถตำรวจบริเวณดินแดง ในขณะที่มวลชนเสื้อแดงเดินขบวนไล่ลุงตู่”

แม้จะรู้สึกเศร้าใจกับข่าวล่าสุดที่กำลังอ่านนี้ แต่ก็แอบปีติขึ้นมาแว่บหนึ่งเสียมิได้ เพราะนี่ก็สัญญาณดีเช่นกัน แสดงว่าโควิด-19 กำลังจะคืนสู่สามัญแน่นอนแล้ว ขบวนม็อบทั้งหลายจึงกลับมาปฏิบัติการเหมือนเดิมอีกหน

สรุปว่าขอแสดงความยินดีกับทุกๆ สัญญาณดีๆ ด้วยนะครับ…แต่อย่าเพิ่งประมาทก็แล้วกัน ยอดติดเชื้อใหม่ก็ยังวันละ 2 พันกว่าๆ อยู่…ไม่จำเป็นอย่ารีบถอดหน้ากากและขอให้ล้างมือบ่อยๆ ต่อไป

สำคัญที่สุด วัคซีนตอนนี้มีเยอะมาก ใครยังไม่ฉีด รีบไปฉีดให้ครบโดส นะครับ เพื่อการคืนสู่สามัญด้วยความสบายใจของคนไทยทุกๆ คนครับ.

“ซูม”

ข่าว,​ เปิดประเทศ, โควิด 19, สัญญาณ, ซูมซอกแซก