จาก “ผู้ว่าฯ” สู่ “ผู้นำ” ประเทศ “ตัวอย่าง” จาก “อินโดนีเซีย”

เมื่อวานนี้ในคอลัมน์ที่ผมเขียนต้อนรับ (ว่าที่) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครท่านใหม่นั้น ผมได้เขียนทิ้งท้ายเอาไว้ใน 2 ย่อหน้าก่อนจบ…ว่า

“คุณชัชชาติจะได้เป็นอะไรใหญ่โตกว่านี้ หรือได้ทำงานใหญ่กว่านี้ในอนาคตหรือไม่ค่อยว่ากัน จากนี้ไปพิสูจน์ฝีมือให้เห็นซะก่อน ถ้า กทม.ดีขึ้นจริง…โอกาสเป็น “ผู้ว่าฯประเทศไทย” หรือ “นายกฯประเทศไทย จะอยู่แค่เอื้อมเท่านั้น”

เหตุที่ผมเขียนไปในแนวที่ว่านี้ก็เพราะขณะที่นั่งดูคะแนนอันนำโด่ง ของท่านในจอโทรทัศน์นั้น…ความรู้สึกแว่บหนึ่งของผมก็นึกไปถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นที่ประเทศเพื่อนบ้านร่วมอาเซียนของเราประเทศหนึ่งเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว

ประเทศอินโดนีเซีย หรือที่เราเรียกกันว่า “ดินแดนอิเหนา” นั่นแหละครับ…เมื่อ พ.ศ.2555 มีการเลือกตั้ง ผู้ว่าราชการจาการ์ตา ปรากฏว่าเด็กหนุ่มบ้านนอกที่เคยเป็นผู้ว่าฯของเมืองบ้านนอกเมืองหนึ่ง แต่มีผลงานโดดเด่นมาก มาลงสมัครเป็นผู้ว่าฯจาการ์ตาด้วย…และได้รับการเลือกตั้งจากชาวเมืองหลวงของอินโดนีเซียอย่างท่วมท้น ผู้ว่าฯท่านนั้นก็คือ นาย โจโก วิโดโด นั่นเอง

เขาประกาศนโยบายพลิกฟื้นจาการ์ตาให้เป็น “อัญมณีแห่งเอเชีย” พร้อมกับลงมือทำตามนโยบายที่เขาหาเสียงไว้ ทันทีที่ได้รับการเลือกตั้ง

เริ่มต้นการแก้ปัญหาการจราจรซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของจาการ์ตา ด้วยการสร้างโทลล์เวย์ใหม่ขึ้นถึง 6 สาย รอบกรุง แถมด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินสายแรกของประเทศ พร้อมกับย้ายหาบเร่ออกจากถนนให้เข้าไปขายตามสถานที่ที่จัดไว้ เพื่อแก้ปัญหาจราจรติดขัดริมถนน

อีกปัญหาก็คือ นํ้ามักท่วมเวลาฝนตกหนัก…เขาก็สร้างอุโมงค์ยักษ์ขึ้นมากลางกรุงจนบรรเทาปัญหาลงได้
เหนืออื่นใดทุกโครงการเขาทำอย่างโปร่งใสตรวจสอบได้ ไม่มีโกงไม่มีกิน และบ่อยครั้งเขาจะไปเดินเร่งรัดการก่อสร้างโครงการเหล่านั้นแบบ “ผู้ว่าฯ” ที่มีเท้าติดดิน ชนะใจชาวอิเหนาไปทั่ว

เพียง 1 ปีต่อมาเขาก็ได้รับการยกย่องให้เป็น 1 ใน 3 ผู้ว่าฯ นครใหญ่ที่ดีที่สุดของโลก โดยสื่อต่างประเทศสำนักหนึ่งถือเป็น “ประกาศนียบัตร” แห่งความสำเร็จในการบริหารกรุงจาการ์ตาของเขา

ปี 2557 เขาประกาศลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย และได้รับชัยชนะขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 7 ของชาวอิเหนา โดยได้คะแนนเหนือ พล.ท.ปราโบโว ซูเบียนโต คู่แข่งไปด้วยคะแนนร้อยละ 6.3

ที่สำคัญเขากลายเป็นประธานาธิบดีอินโดนีเซียธรรมดาสามัญคนแรกที่ไม่มีปูมหลังด้านทหาร หรืออยู่ในตระกูลชนชั้นสูงด้านการเมืองเก่าแก่มาเป็นแบ็กกราวน์หนุนหลังแต่อย่างใดทั้งสิ้น

นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 เขาดำรงตำแหน่งจนครบเทอม และได้รับเลือกตั้งสมัยที่ 2 เมื่อปี 2562 ยังอยู่ในตำแหน่งมาจนถึงวันนี้

อินโดนีเซียในยุคสมัยของเขาเจริญก้าวหน้าไปพอสมควร ผมเคยมีโอกาสไปตระเวนเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วหลายเมือง จำได้ว่าเก็บเรื่องราวมาเขียนถึงด้วยความตื่นเต้นในความสำเร็จในการ “พัฒนา” ที่ประธานาธิบดีลูกทุ่งท่านนี้บริหารประเทศ

แต่ก็นั่นแหละการอยู่ในตำแหน่งเกิน 5 ปีไปแล้ว ประชาชนก็รู้สึกเบื่อหน่ายเอาได้ง่ายๆ–ช่วง 3-4 เดือนหลังนี้เขาโดนเดินขบวนประท้วงบ่อยมาก

โทษฐานที่แก้ปัญหาเงินเฟ้อของประเทศไม่สำเร็จ และบริหารจัดการโควิด-19 ไม่ค่อยดีนัก ถือเป็นประเด็นท้าทายเขาในการเป็นผู้นำดินแดนอิเหนาสมัยที่ 2

ครับ! กลับมาที่เหตุการณ์บ้านเราหลังชัยชนะของ (ว่าที่) ผู้ว่าฯ ชัชชาติ…ซึ่งใครต่อใคร มีการวิเคราะห์และมีการโยงใยขนานใหญ่ว่า มีผลทางการเมืองอย่างโน้นอย่างนี้ กระเพื่อมไปถึงท่านโน้นท่านนี้

ซึ่งก็เป็นเรื่องที่วิเคราะห์ได้และตีความได้ เพราะนานๆจะเกิดปรากฏการณ์ในลักษณะนี้สักครั้งหนึ่ง

แม้แต่ผมยังพลอยจินตนาการวิเคราะห์และโยงไปโน่นไปนี่กับเขาด้วยเช่นกัน คือโยงไปถึงความสำเร็จของอดีตท่านผู้ว่าฯ จาการ์ตากับการเป็นประธานาธิบดีอินโดนีเซียที่เขียนมานี้แหละ

แต่ไม่ว่าจะโยงอย่างไรผมก็ยังมีเงื่อนไขนะครับว่า….ท่านต้องโชว์ฝีมือก่อน 4 ปี แก้ปัญหา กทม.ให้ได้เหมือนกับคุณโจโกแก้ปัญหาจาการ์ตา

จากนั้นจะไปเป็น “ผู้นำ” ประเทศไทยแบบคุณโจโก เป็น “ผู้นำ”อินโดนีเซียก็เชิญเลยครับ.

“ซูม”

ข่าว, ผู้ว่า, กทม, กรุงเทพมหานคร, ชัชชาติ, ซูมซอกแซก