ข้อแนะนำยาม “ของแพง” บ่นไป+ระบายไป+ประหยัดไป

ผมเขียนต้นฉบับวันนี้ช่วงบ่ายๆ วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม ตลาดซื้อขายน้ำมันอย่างเป็นทางการยังปิดอยู่ จึงไม่ทราบว่าราคาน้ำมันดิบล่าสุดที่นิวยอร์กและลอนดอนอยู่ที่บาร์เรลละกี่เหรียญ? ขึ้นหรือลงเท่าไร? ด้วยเหตุผลอย่างไรบ้าง?

คงต้องใช้ราคาเมื่อค่ำวันศุกร์ของสหรัฐฯ หรือเช้าวันเสาร์บ้านเราในการวิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันดิบของโลกไปพลางๆ ก่อน ซึ่งก็น่าจะใช้ได้และไม่น่าจะผิดจากข้อเท็จจริงมากนัก

สรุปก็คือเมื่อค่ำวันศุกร์ตามเวลานิวยอร์กที่ผ่านมา ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ขึ้นมา 3 เหรียญกับ 31 เซนต์ต่อบาร์เรล ปิดที่ 100 เหรียญ 33 เซนต์ต่อหนึ่งบาร์เรล ส่วนที่ลอนดอนนั้นน้ำมันดิบเบรนต์ขึ้นมา 3 เหรียญ 34 เซนต์ ปิดที่ 112 เหรียญ 67 เซนต์ต่อหนึ่งบาร์เรล

ดูจากสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ยังไม่เบาบางลงและยังไม่มีสัญญาณว่าจะหยุดยิงกันง่ายๆ  ผมก็เดาว่าราคาน้ำมันในวันจันทร์นี้น่าจะขึ้นมาอีก และน่าจะขึ้นไปเรื่อยๆ

จริงๆ แล้วราคาน้ำมันดิบเคยขึ้นไปสูงถึงบาร์เรลละกว่า 120 เหรียญมาแล้วทั้ง 2 ตลาด เมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเฉพาะน้ำมันดิบเบรนต์ที่ลอนดอนขึ้นไปถึง 127 เหรียญ 98 เซนต์ต่อบาร์เรลเสียด้วยซ้ำ

แต่เมื่อมีข่าวว่าสหรัฐฯ อาจเลิกบอยคอตอิหร่าน (จากกรณีที่อิหร่านจะพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์) อันอาจจะมีผลให้อิหร่านสามารถส่งน้ำมันออกมาขายในตลาดโลกได้รวมกับข่าวที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์แถลงว่า พร้อมจะเพิ่มกำลังผลิตและสนับสนุนโอเปก เพื่อให้ผลิตน้ำมันมากขึ้น

เป็นผลให้ราคาน้ำมันดิบโลกหล่นลงไปบาร์เรลละ 15-16 เหรียญในทันทีท่ามกลางความดีใจของประเทศผู้ใช้น้ำมันทั่วโลก

อย่างไรก็ตามดีใจได้แค่วัน 2 วัน เมื่อพบว่าข่าวทั้ง 2 แม้จะไม่ใช่เฟกนิวส์แต่ก็อีกนานกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นความจริงขึ้นมาได้ ราคาน้ำมันดิบก็กระดกขึ้นมาใหม่

แม้จะขึ้นมาต่ำกว่าราคาที่กระฉูดไป 120 กว่าๆ เหรียญในตอนแรกเยอะอยู่ แต่ด้วยราคาที่เกิน 100 เหรียญขึ้นไปเช่นนี้ ทุกประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยก็คงจะเดือดร้อนอยู่ดี

ถือเป็นการกระหนํ่าซ้ำเติมภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอยลงเพราะโควิด-19 ระบาดมา 2 ปีกว่าๆ ให้ฟื้นตัวยากขึ้นไปอีก

ที่สำคัญปัญหาน้ำมันแพงไม่เพียงแต่จะมีผลกระทบต่อปัญหาเศรษฐกิจเท่านั้น ยังมีผลเลยเถิดไปถึงด้านการเมืองและสังคมอีกด้วย

ทุกครั้งที่น้ำมันแพงซึ่งนำไปสู่ข้าวของต่างๆ ราคาแพงตามไปด้วยนั้น ประชาชน (ทุกชาติ) ย่อมบังเกิดความไม่พอใจ ออกมาตัดพ้อต่อว่าหรือเดินขบวนปะท้วงรัฐบาลของตนอยู่เสมอๆ

ผมจึงรู้สึกเห็นใจ “บิ๊กตู่” และรัฐบาลชุดนี้อย่างยิ่งที่ต้องมาเผชิญศึกหนักเรื่องราคาน้ำมันแพงและของแพงซ้ำเข้าให้อีก และน่าจะเหนื่อยกว่าทุกๆ ศึกที่ผ่านมา

สำหรับพี่น้องประชาชนที่จะต้องเดือดร้อนนั้นผมก็เข้าใจและเห็นใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน เพราะฉะนั้นหากจะมีการแสดงออกใดๆเพื่อระบายอารมณ์บ้างก็เชิญเถิดครับ ขอเพียงอย่าทำอะไรที่รุนแรงเกินเหตุและผิดกฎหมายเท่านั้น เพราะจะทำให้เหตุการณ์บานปลายและการแก้ปัญหาต่างๆของบ้านเมืองยุ่งยากขึ้นไปอีก

ผมมีความเห็นว่าในสถานการณ์เช่นนี้การใช้วิธี “บ่นไป… ระบายไป…รัดเข็มขัดไป” เพื่อความอยู่รอดน่าจะเหมาะสมที่สุด

บ่นเพื่อระบายอารมณ์อย่างที่ว่า…เพราะไม่บ่นหรือไม่ด่าอะไรเลย อกชาวบ้านจะแตกไปเสียก่อน…ขอให้รัฐบาลรับฟังเสียงบ่นเสียงด่าทั้งหลายด้วยความมานะอดทนและให้อภัยไม่ว่าเสียงบ่นหรือด่าจะรุนแรงแค่ไหนก็ตาม

ในส่วนของประชาชนทั่วไปนั้น เมื่อบ่นแล้วด่าแล้วก็ต้องหันมาใช้วิธีประหยัดและรัดเข็มขัดกันอย่างสุดฤทธิ์

โดยเฉพาะประหยัดการใช้น้ำมัน ประหยัดการใช้ไฟฟ้า ประปา แก๊สหุงต้ม ฯลฯ ซึ่งจะแพงหูฉี่ไปอีกนานแน่นอน

สุดท้ายก็คงต้องท่องคาถาที่พระภิกษุที่มีชื่อเสียงหลายๆ รูป อาทิ ท่าน ไพศาล วิสาโล และท่าน ว.วชิรเมธี ท่านแนะไว้และผมเคยนำมาเขียนกราบเรียนผู้อ่านไปแล้ว…คือคาถาที่ว่า “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

แต่เผอิญว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็น “เดี๋ยยยว” ที่นานหน่อย (เพราะมีตัว ย.หลายตัว) เพราะฉะนั้นเราคงต้องสูดลมหายใจลึกๆ พร้อมกันอีกครั้งเพื่อร่วมกันฝ่าวิกฤติ “โควิด-19” และวิกฤติ “น้ำมันแพง” ไปให้จงได้ในที่สุด…สู้ๆ ครับ เดี๋ยยยวมันก็ผ่านไป!

“ซูม”

ข่าว, ราคา, น้ำมันแพง, โควิด-19, ไฟฟ้า, ประปา, ค่านำ้, ค่าไฟ, ประหยัด, ซูมซอกแซก