ฮือฮา “ญัตติ” ไม่ไว้วางใจ “ดุเดือดสุด”…ตั้งแต่มีสภา?

เมื่อ 2–3 วันที่ผ่านมานี่เอง หนังสือพิมพ์ทุกฉบับรายงานข่าวตรงกันว่า พรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีอื่นๆอีก 5 ท่าน ต่อท่านประธานสภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในเนื้อข่าว ขณะที่ผมอ่านยังไม่ระบุวันอภิปรายที่ชัดเจน แต่คาดไว้ว่าไม่เกินต้นเดือนกันยายน

อะไรไม่อะไร ผมเห็นพาดหัวข่าวหลายฉบับและลงไปอ่านเนื้อข่าว โดยละเอียดแล้วต้องร้องอุทานกับตัวเองหลายๆครั้ง ในทำนองว่าเดี๋ยวนี้เขาใช้ “ถ้อยคำ” รุนแรงดุเดือดเลือดพล่านกันถึงขนาดนี้แล้วหรือ?

ดุเดือดจนผมไม่กล้าคัดลอกข้อความมาลงต่อว่างั้นเถอะ

ยกตัวอย่างในญัตติขอเปิดอภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ในฐานะ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกลาโหม ซึ่งเป็นหมายเลข 1 นั้น นอกจากถ้อยคำที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับพาดหัวว่า “โง่–โอหัง–คลั่งอำนาจ” แล้วยังมีคำว่า “ไร้ภูมิปัญญา” “ไร้องค์ความรู้” “ไร้จิตสำนึกรับผิดชอบ” “ผิดพลาด” “ล้มเหลว” “ฉ้อฉล” “จงใจใช้อำนาจ” “ค้าความตาย” “กอบโกยผลประโยชน์บนซากศพ” ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ ผมใส่ ฯลฯ เอาไว้ถึง 4 ฯลฯ เพื่อเป็นการยืนยันว่ายังมีอีกหลายคำ

ส่วนคำว่า “โอหัง–คลั่งอำนาจ” ที่หนังสือพิมพ์พาดหัวนั้น มีการวงเล็บภาษาอังกฤษไว้ด้วยว่า Hubris Syndrome ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายรุนแรงอยู่ไม่น้อย

ใครอยากรู้ความหมาย ลองไปเข้ากูเกิลดูนะครับ มีผู้รู้หยิบคำนี้มาอธิบายเป็นภาษาไทยให้เข้าใจง่ายๆ หลายท่านเลยทีเดียว

นักการเมืองระดับโลกที่บทความหรือเว็บไซต์บางเว็บยกตัวอย่างไว้ว่าเป็นโรค Hubris Syndrome หรือโอหังคลั่งอำนาจ จากการศึกษาของ ลอร์ด เดวิด โอเวน และ โจนาธาน เดวิดสัน มีหลายท่าน เช่น ประธานาธิบดี รูสเวลต์, วูดโรว์ วิลสัน, จอห์น เคนเนดี, ลินดอน จอห์นสัน, ริชาร์ด นิกสัน และ จอร์จ ดับเบิลยู บุช เป็นต้น

อีกการศึกษาหนึ่งยกตัวอย่าง เดวิด ลอยด์ จอร์จ (นายกฯอังกฤษ) มาร์กาเรต แทตเชอร์ และ โทนี แบลร์ เพิ่มอีก 3 ท่าน

ล่าสุดบทความจากสื่อระยะหลังๆ จะเอ่ยถึง โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยว่าเป็นโรค Hubris Syndrome เต็มตัวเลย

ครับ! ก็เป็นสาระโดยสรุปจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านในครั้งนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าดุเดือดเลือดพล่านจริงๆ และน่าจะดุเดือดที่สุดเท่าที่ผมติดตามข่าวการเมืองมาตั้งแต่หนุ่มๆ ก็ว่าได้

มาคิดอีกทีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะยุคนี้เป็นยุคที่ผู้คนทั้งโลกรวมทั้งคนไทยเราด้วย มีความดุเดือดเลือดพล่านอย่างเหลือเชื่อ…ชนิดใครก็ตามที่กลายเป็นเจ้าชายนิทราหรือเจ้าหญิงนิทราไปสัก 30 ปี ตื่นขึ้นมาคงจะตกใจมากกับภาษาของคนรุ่นนี้

คงจะเป็นเพราะอิทธิพลของ โซเชียลมีเดีย แหละครับที่ทำให้มนุษย์เปลี่ยนไป…กลายเป็นคนขี้โมโหและหยาบคายกันไปหมด

คำว่า “มึง” คำว่า “กู” สมัยก่อนกว่าจะหยิบมาเขียนสู่สาธารณะได้ที ผมเคยเล่าแล้วว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ ปราโมช ต้องขอโทษแล้วขอโทษอีก ก่อนที่ท่านจะใช้คำว่า “กูละเบื่อ” ซึ่งเป็นการใช้ “กู” ในคอลัมน์ของท่านเป็นครั้งแรก

จนกระทั่งหนที่ 2 ตอนทหารพรานไปพังประตูบ้านท่านนั่นแหละ ท่านถึงได้ของขึ้นใช้คำว่า “กูไม่กลัวมึง” โดยไม่ขอโทษขอโพย

ซึ่งท่านก็ใช้แค่ 2 ครั้งเท่านั้นในชีวิตการเขียนหนังสือของท่าน

มายุคนี้ไปดูเถอะ โพสต์ทุกโพสต์ทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิงมึงกูกันหมด… แม้แต่เด็กนักเรียนก็ยังมึงกู

เมื่อสังคมเราเปลี่ยนไปทางรุนแรงเช่นนี้…จึงไม่แปลกที่ภาษาการเมืองจะรุนแรงขึ้นด้วย…เพียงแต่ไม่ถึงขั้นขึ้นมึงขึ้นกูหรือขึ้นไอ้ขึ้นอีเท่านั้น

ครับ ก็ลองมาติดตามตอนอภิปรายจริงๆ กันอีกทีว่าฝ่ายค้านเขาจะมีหลักฐานมีข้อมูลอะไรมาสนับสนุนถ้อยคำแรงๆ ที่เขาจั่วหัวหรือไม่?

ต้องพยายามให้มีเยอะๆ นะครับ อย่ามีแค่คำด่าลอยๆ อย่างเดียวเท่านั้น เพราะประชาชนยุคนี้แม้จะอารมณ์ร้อนแต่ก็พอมีสติปัญญาอยู่ไม่น้อย อภิปรายด่าลูกเดียวแบบน้ำท่วมทุ่ง ระวังคำว่า “โง่” “ไร้ภูมิปัญญา” ฯลฯ จะแคนนอนกลับมาเป็นของฝ่ายค้านเสียเอง.

“ซูม”

ข่าว, อภิปราย, ไม่ไว้วางใจ, ฝ่ายค้าน, คำหยาบ, หยาบคาย, ซูมซอกแซก