เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวคล้ายๆ ข่าวลือ แต่ก็ยืนยันกันว่าเป็นข่าวจริง เพราะมีคนไปได้ยินมาว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขกำลังซุ่มร่าง พ.ร.ก.ฉบับหนึ่ง เพื่อคุ้มครองบุคลากรสาธารณสุขที่อาจกระทำผิดพลาด หรือบกพร่องในการดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด
ส่งผลให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวางว่า อาจเป็นการออก พ.ร.ก.นิรโทษกรรมแบบสุดซอย เพราะจะขอให้คุ้มครองไปถึงบุคคลที่ทำหน้าที่ในการบริหาร หรือที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดหาวัคซีน หรือเจรจาซื้อวัคซีนด้วย…มิใช่คุ้มครองเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น
ต่อมาท่านปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.เกียรติภูมิ วงค์รจิต ได้นำผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง และผู้นำของสถาบัน หรือองค์กรอิสระทางการแพทย์อีกหลายๆ องค์กร ออกมาแถลงแบบผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียวที่กระทรวงสาธารณสุข
สรุปข้อใหญ่ใจความได้ว่า เนื่องจากโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ ร้ายแรงที่มีผลกระทบในวงกว้างทุกมิติ ทำให้มีผู้คนเจ็บป่วย และเสียชีวิตจำนวนมาก แม้ระบบสาธารณสุขไทยจะได้ทุ่มเทสรรพกำลังในการต่อสู้กับโรคนี้อย่างเต็มที่แล้ว
แต่ความรู้เรื่องนี้ยังมีไม่มากนัก ทำให้การดำเนินงานเกิดความไม่สมบูรณ์ หรืออาจเกิดข้อผิดพลาดโดยสุจริตได้
จึงขอเสนอให้รัฐบาลได้โปรดพิจารณาดำเนินการหามาตรการในการปกป้องคุ้มครองผู้ปฏิบัติงาน ตลอดจนนักวิชาการต่างๆ ด้วย เพื่อลดความวิตกกังวลและสร้างความมั่นใจในการทำงานที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนต่อไป
ผมได้ฟังและได้อ่านแถลงการณ์ของท่านปลัดและคณะแล้ว ก็น่าจะเชื่อได้ว่า ที่มีคนพูดว่าได้มีการยกร่าง พ.ร.ก.ให้การคุ้มครองบุคลากรสาธารณสุขนั้น…มีการหารือ หรือเตรียมยกร่างกันไว้แล้วจริงๆ
แต่รายละเอียดจะเป็นอย่างไร จะมีมาตราหนึ่งมาตราใดที่ออกมาแล้วจะเป็นการนิรโทษกรรมแบบสุดซอย ช่วยคุ้มครองไปถึงฝ่ายบริหารหรือฝ่ายการเมืองด้วยหรือไม่…คงต้องติดตามกันต่อไป
โดยส่วนตัวผมเอง…ผมเห็นใจครับ และอยากให้ทางกระทรวงลองร่างออกมาให้เห็นจะจะว่าประเด็นไหนบ้างที่ท่านยังกังวลหรือห่วงใย จนถึงขั้นจะทำให้ทำงานโดยปราศจากความมั่นใจ ดังที่ท่านปลัดแถลงไว้
แต่ก็ขออนุญาตที่จะปลอบใจทุกๆ ท่าน ที่ออกมาแถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า หากไม่ได้รับการตอบสนองในทางบวกหรือทางที่ดีจากฝ่ายการเมือง จากสื่อมวลชนหรือประชาชน ฯลฯ ก็ขอให้เข้าใจถึง “กฎแห่งความจริง” ประการหนึ่งที่เกิดขึ้นทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกอยู่เสมอๆ
นั่นก็คือ…ไม่มีการขออะไรจะยากเย็นแสนเข็ญเท่ากับไปเอ่ยปากขอในยามที่เราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้หรอกครับ
เหมือนทีมฟุตบอลที่ไปแพ้คู่ต่อสู้มา จะขอโน่นขอนี่คงยากเพราะทำให้กองเชียร์ผิดหวังอยู่แล้ว
ต่างกับในกรณีที่เราเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งจะมีแต่เสียงชมเชย มีการจัดเลี้ยงมีการมอบเงินอัดฉีด ฯลฯ หรืออยากได้อะไรก็มักจะได้
เมื่อการระบาดรอบแรกจบลง ประเทศไทยเราเป็นฝ่ายชนะ…ยอดผู้ติดเชื้อต่ำมาก…ผู้เสียชีวิตน้อยมาก…องค์การอนามัยโลกชื่นชม และนำระบบสาธารณสุขประเทศไทยไปเป็นตัวอย่างแก่ชาวโลก
คนไทยชื่นมื่นกันมาก…รัฐบาลก็ปลื้มกระทรวงสาธารณสุขมาก จัดอัตรากำลังเพิ่มให้จัดงบประมาณพิเศษ เบี้ยเลี้ยงพิเศษให้แก่บุคลากรสาธารณสุขทั่วไทย โดยเฉพาะ อสม.
แต่ระลอกนี้กับระลอกนั้น ต่างกันคนละเรื่อง…เพราะเราเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ยับเยิน…ทำให้กระทรวงสาธารณสุขถูกมองว่าเป็นสาเหตุแห่งความพ่ายแพ้ ทำอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด ถูกวิจารณ์ทั้งการจัดซื้อวัคซีน การรับผู้ป่วยไม่ทันกาลจนเสียชีวิตคาบ้าน และบางรายก็เสียชีวิตคาถนน ฯลฯ
ดังนั้น…หากคำขอร้องเรื่องนิรโทษกรรม หรือการคุ้มครองอะไรต่างๆ ของท่านจะถูกรัฐบาลปฏิเสธ หรือถูกประชาชนหรือสื่อมวลชนปฏิเสธ ก็ขอให้ทำใจ…และโปรดเข้าใจใน “กฎแห่งความจริง” ของคนทั่วโลกในข้อนี้ไว้ด้วยก็แล้วกัน
ผมเองในฐานะกองเชียร์กระทรวงสาธารณสุขมาแต่ต้น และหน้าบานมากตอนประเทศไทยชนะยกแรก…มาถึงยกนี้ เลยเชียร์อะไรไม่ออก หน้าเหี่ยวลงไปถนัดใจเลยละ
แม้จะเชียร์ไม่ออก แต่ผมก็ยังให้กำลังใจอยู่นะครับ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขอท่านปลัดและระบบสาธารณสุขไทย จงกัดฟันสู้ต่อไปและขอให้ยึดมั่นในพระราชนิพนธ์ ร.5 ที่ว่า “สุจริตคือเกราะบังศาสตร์ พ้อง”…ถือเสียว่าความสุจริตคือ พ.ร.ก.ที่ดีที่สุดก็แล้วกันครับ.
“ซูม”