จาก “เสียกรุง” สู่ “สร้างกรุง” ประวัติศาสตร์ไทยกับ “โควิด”

เพื่อนผู้มากอารมณ์ขันของผมรายหนึ่งโทรศัพท์มาคุยกับผมขณะที่ผมนั่ง Work from Home อยู่ที่บ้านเมื่อวานนี้ มีสาระบ้างไม่มีสาระบ้างตามประสา “เล่าฮู” หรือคนแก่อารมณ์ดี 2 คน

“เดือน เมษายน เนี่ยเป็นเดือนประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเรา เชียวนะซูม จำได้ไหมล่ะ? มีทั้งประวัติศาสตร์ในเรื่องเลวร้าย และเรื่องดีสุดๆเกิดขึ้น” เพื่อนผมเปิดประเด็น ในขณะที่เรากำลังคุยกันถึงข่าวการระบาดหนักในระลอกที่ 3 ของโควิด-19 ไวรัสมหาภัยที่เป็นปัญหาใหญ่ของชาติ ณ นาทีนี้

“เรื่องร้าย ก็คือ เมื่อ 7 เมษายน พ.ศ.2310 กรุงศรีอยุธยาแตก…พม่าพังกำแพงเมืองสำเร็จ กรีธาทัพเข้าปล้นสะดมพระนคร แล้วก็เผาจนราพณาสูร…เป็นอันสิ้นสุดยุคสมัยของราชธานีกรุงศรีอยุธยา”

“ส่วน เรื่องดี ก็คือ 6 เมษายน พ.ศ.2325 อีก 15 ปีให้หลัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ขึ้นครองราชสมบัติ และสถาปนาราชวงศ์จักรี…จากนั้นอีกเพียง 15 วัน คือในวันที่ 21 เมษายน 2325 ก็บังเกิดเรื่องดีสุดๆ เมื่อพระองค์ท่านได้ทรงสถาปนากรุงเทพฯ ขึ้นเป็น ราชธานี ใหม่ของสยาม นำความเจริญรุ่งเรืองให้แก่สยามมาจนถึงบัดนี้”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับโควิด-19 ล่ะเพื่อน” ผมถามขัดจังหวะ

“เกี่ยวซีโว้ย” เพื่อนตอบทันทีทันควัน

“เพราะเจ้าโควิดระลอก 3 มันระบาดใหม่ช่วงต้นเมษายนเหมือนกัน ถือว่าระบาดในฤกษ์ร้ายก่อนเสียกรุงพอดี ทำให้ประเทศไทยเหมือนกรุงศรีอยุธยาแตกเลย วุ่นวายไปหมด โรงพยาบาลเต็มทุกแห่ง มีข่าวปฏิเสธรับคนไข้ ปฏิเสธรับการตรวจเชื้อ ผู้คนแตกตื่นทั้งเมือง มีแต่ข่าวลือโน่นนี่”

“แล้วไง?” ผมถามอีก

“แล้วสถานการณ์ก็ค่อยๆ ดีขึ้นน่ะซี” เพื่อนอธิบายต่อ

“อย่าลืมวันนี้ 21 เมษายนแล้วนะ (วันที่โทร.มาคุย) วันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ หรือวันมหาฤกษ์ มาถึงแล้ว…เห็นไหม คนไทยออกมาช่วยกันใหญ่ ภาคเอกชนร่วมมือกับรัฐบาลช่วยหาวัคซีนอีกแรง!!

จากนั้นเพื่อนผมก็สรุปว่า ประเทศไทยเราเอาชนะโควิด-19 ได้แน่ๆ เพราะ “ฤกษ์ร้าย” ที่เคยทำให้กรุงศรีอยุธยาแตกผ่านไปแล้ว

ขณะนี้กำลังเข้าสู่ “ฤกษ์ดี” คือฤกษ์ของการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งส่งผลให้สยามประเทศเจริญรุ่งเรือง ถีบตัวเองจากประเทศด้อยพัฒนาขึ้นมาเป็นประเทศ “รายได้ปานกลางขั้นสูง” ดังเช่นทุกวันนี้

ฤกษ์ดีที่ว่านี้ก็คือ วันพุธที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา หรือวันครบรอบ 239 ปี แห่งกรุงเทพมหานคร ของเรานั่นเอง

บอกแล้วว่าเพื่อนผมเป็นคนมีอารมณ์ขัน มองโลกในแง่ดี และพยายามโยงทุกเรื่องให้เป็นเรื่องดีๆ เพื่อจะเรียกรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา

ผมเห็นว่า “รอยยิ้ม” สำคัญมากสำหรับสถานการณ์เครียดๆแบบทุกวันนี้ ก็เลยเอามาเขียนเล่าต่ออีกทอดหนึ่ง

แต่มาคิดอีกที การวิเคราะห์จากดวงประเทศในอดีตของเพื่อนก็มีส่วนเป็นจริงเหมือนกัน เพราะผมดูว่าบรรยากาศในช่วงหลังๆ ดูดีขึ้นเยอะ แม้สถานการณ์จะยังคงหนักอยู่ก็ตาม เพราะจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันยังคงอยู่ที่หลัก 1,300-1,400 มิได้ลดลงมากนัก

เราได้เห็นความตั้งใจในการแก้ปัญหาของบุคลากรทางการแพทย์และผู้รับผิดชอบในภาคปฏิบัติ เช่น ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดรวมทั้งผู้ว่าฯ กทม.ของเรา

ได้มีการสร้างโรงพยาบาลสนามเพิ่มขึ้นที่โน่นที่นี่อยู่ตลอดเวลาควบคู่ไปกับความพยายามแก้ปัญหาความไม่สะดวกต่างๆ ที่มีการร้องเรียน เรื่องโรงพยาบาลสนามไปด้วย

ในขณะที่บุคลากรทางการแพทย์ซึ่งเริ่มขาดแคลนเพราะบางส่วนก็ต้องถูกกักตัว เพราะพลอยติดเชื้อไปด้วยนั้น…ก็มีการระดมท่านที่เกษียณแล้วให้มาช่วยเสริม มาเป็นจิตอาสาในหลายๆ ด้าน

นอกจากทางฝั่งบุคลากรการแพทย์แล้ว ส่วนของภาคเอกชนระดับบิ๊กๆ ก็ยื่นมือเข้ามาช่วยเต็มที่ รวมถึงที่เข้ามาจะสมทบทุนผ่อนแรงรัฐบาลช่วยจัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติมดังที่เป็นข่าวล่าสุด

นี่คือบรรยากาศของการ “สร้างกรุง” จริงๆ ถ้าเป็นแบบนี้ เราไม่แพ้โควิด-19 แน่ๆ มีแต่ชนะอย่างเดียวเท่านั้น

ป.ล. ไหมล่ะ! ในที่สุดเราก็ชนะจริงๆ…ชนะโควิดระลอก 3 หรือเปล่า ยังไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ โครงการ “เราชนะ” รัฐบาลเพิ่มเป้าหมายให้แล้วจาก 31.1 ล้านคน เป็น 33.5 ล้านคน และเพิ่มเงินให้อีก 3,042 ล้านบาท แถมขยายระยะเวลาจากไม่เกิน 31 พ.ค. เป็นไม่เกิน 30 มิ.ย. …เฮ!

“ซูม”

ข่าว, โควิด 19, ฉีดวัคซีน, วัคซีน, เสียกรุง, กรุงเทพมหานคร, สร้างกรุง, ประวัติศาสตร์ไทย, ซูมซอกแซก