ปลอบใจ “เชียงใหม่” กับ “แชมป์โลก” ที่ไม่อยากได้

ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ จังหวัดเชียงใหม่ไทยแลนด์ของเราได้กลายเป็นจังหวัดที่ติดอันดับคุณภาพอากาศแย่ที่สุดในโลก 1 ใน 10 อยู่ตลอด…ส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณที่ 4 ที่ 5 แต่ก็มีบ่อยครั้งที่ขึ้นไปเป็นอันดับ 1 หรือแชมป์โลกเลยทีเดียว

แต่ ณ นาทีที่ผมเขียนต้นฉบับวันนี้เวลาประมาณบ่ายโมงเศษๆ ของวันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม เว็บไซค์ iqair.com ซึ่งทำหน้าที่รายงานคุณภาพอากาศแบบสดๆ จากเมืองต่างๆ ทั่วโลก รายงานว่าเชียงใหม่อยู่ในอันดับที่ 5 ครับ โดยมีคุณภาพอากาศอยู่ที่ 165 AQI อยู่ในเฉดสีแดง ซึ่งแปลว่ามีอันตรายต่อสุขภาพ (อย่างยิ่ง)

แพทย์เตือนชาวเชียงใหม่ต้องใช้หน้ากาก N95 หลังฝุ่น PM 2.5 สูงติดอันดับโลก

แชมป์หรืออันดับที่ 1 ได้แก่ ปักกิ่ง ของสาธารณรัฐประชาชนจีน (187 AQI), อันดับ 2 กรุง เดลี อินเดีย (174 AQI) อันดับ 3 เสิ่น หยาง จีน (170 AQI) และอันดับ 4 ก็คือกรุง โซเฟีย ประเทศบัลแกเรีย (168 AQI)

แม้จะโชคดีที่วันนี้เชียงใหม่ลงมาอยู่อันดับ 5 แต่การที่อยู่ในอันดับท็อปเทนมาตลอดและบางครั้งก็คว้าตำแหน่งแชมป์ไปครองเข้าให้ด้วยย่อมจะทำให้จังหวัด เชียงใหม่ ของเรามีภาพลบในเรื่องคุณภาพอากาศไปโดยปริยาย

นักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวเมืองไทยในวันข้างหน้าเมื่อโควิด-19 เริ่มซาลงไปแล้ว อาจจะไม่ค่อยอยากมาเที่ยวเชียงใหม่เท่าไรนัก

อย่าลืมว่าในอดีตเชียงใหม่ของเราเป็นเมืองท่องเที่ยวที่อยู่ในใจนักท่องเที่ยวทั่วโลกเมืองหนึ่ง

เมื่อทราบข่าวว่า จังหวัดเชียงใหม่ของเรามีปัญหาเรื่องคุณภาพอากาศ เช่นนี้ ก็อาจมีผลทำให้ความนิยมของนักท่องเที่ยวต่างประเทศลดน้อยลงไปบ้างไม่มากก็น้อย

ดังนั้น การหาทางป้องกันและแก้ไข หรือหาวิธีที่จะทำให้เชียงใหม่และจังหวัดในภาคเหนือไม่ตกอยู่ในสภาพดังที่เป็นข่าวใหญ่ในขณะนี้ จึงสมควรที่จะเป็นนโยบายเร่งด่วนที่จะต้องวางแผนแก้ไขให้จงได้

จริงๆ แล้วทุกจังหวัดในภาคเหนือก็รู้สาเหตุ…รัฐบาลไทยเองก็รู้สาเหตุ…เพราะเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมานี่เอง “บิ๊กตู่” ก็เคยไปจัดประชุม ครม.สัญจรและหยิบยกปัญหา “คุณภาพอากาศ” มาเป็นวาระใหญ่ถึงขนาดลงไปดูในภาคสนามด้วยตัวเอง

แต่เนื่องจากปัญหามิได้เกิดขึ้นเฉพาะในจังหวัดที่อยู่ในภาคเหนือ ของเราเท่านั้น…โดยข้อเท็จจริงแล้วการเผาป่า หรือเผาพืชไร่ต่างๆ ที่เป็นสาเหตุของหมอกควันนั้น ได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางที่ประเทศเพื่อนบ้านของเราและโดนลมพัดหอบข้ามเทือกเขาต่างๆ เข้ามาสู่บ้านเราด้วยส่วนหนึ่ง

แม้ในปีนี้ผมก็ได้ยินข่าวตั้งแต่เดือนธันวาคมว่า ทางจังหวัดเตรียมตัวตั้งรับเต็มที่…มีการประกาศ มีการแจ้งข่าว ให้ประชาชนและเกษตรกรละเว้นการเผาพืชตามบริเวณชายป่า รวมทั้งยํ้าถึงบทลงโทษต่างๆ อย่างชัดเจน

ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะมีการจัดทีมเฝ้าระวังตระเวนไปตามจุดสำคัญๆ ด้วยซํ้า…แต่เอาเข้าจริงก็ยังเกิดปัญหาขึ้นอีกจนได้

ครับ! เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็คงต้องแก้ไขกันไป หาทางลด หาทางบรรเทา ปัญหาฝุ่นพิษและอากาศพิษให้ได้มากที่สุด

ประเด็นที่น่าเป็นห่วงกว่าเรื่องท่องเที่ยวก็คือ ปัญหาเรื่องสุขภาพอนามัยของพี่น้องประชาชนในจังหวัดภาคเหนือของเรานั่นเอง

นักท่องเที่ยวจะมาหรือไม่มาเป็นเรื่องของอนาคต และที่ผ่านมาก็ถือเป็นโชคดีของเชียงใหม่อย่างหนึ่งที่นักท่องเที่ยวยังคงมาอย่างสม่ำเสมอ หลังควันพิษจางลงไปแล้ว

แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้น และเป็นปัญหาเฉพาะหน้าก็คือสุขภาพของพี่น้องชาวเชียงใหม่ และชาวเหนือของเรา ที่จะต้องเผชิญ PM 2.5 ไปตลอดเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้าเป็นอย่างน้อย หากไม่มีฝนตกมาเลย

อย่าลืมสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้านนะครับ เพื่อป้องกันทั้งฝุ่นพิษและโควิด-19 ไปด้วยพร้อมๆ กัน…หรือถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพยายามออกจากบ้านไปไหนเป็นดีที่สุด

ปลอบใจชาวเชียงใหม่แล้ว ก็ต้องปลอบใจตัวเองในฐานะชาวกรุงเทพฯ ด้วยเหมือนกัน…เพราะจากรายงานของเว็บไซต์เดียวกันนี้และในตาราง เดียวกันนี่แหละ

Bangkok ของเราก็ติดอันดับ 28 ของเมือง อากาศแย่ของโลกกับเขาด้วย…อยู่ในเฉดสีส้ม 107 AQI ยังไม่ถึงขั้นเป็นอันตราย ก็จริงอยู่แต่ก็จ่อๆ แล้วนะครับ ออกจากบ้านไปไหนมาไหนควรต้องสวมหน้ากากอนามัยเช่นกัน.

“ซูม”

ข่าว, ฝุ่นพิษ, pm 2.5, เชียงใหม่, คุณภาพอากาศ, ภาคเหนือ, กรุงเทพ, อันดับโลก, ซูมซอกแซก