แล้ว “คนกรุง” ก็เจอ “2 เด้ง” หลบ “โควิด” แต่ไม่พ้น “PM”

วันที่ 16 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา นอกจากจะเป็น “วันครู” เพื่อให้เรารำลึกถึงพระคุณของคุณครูแล้ว…สำหรับผมและคนกรุงเทพฯ อีกจำนวนมากกลับกลายเป็น “วันครุ” (คอรอสระอุ) ที่แปลว่า “หนัก” ควบคู่ไปด้วย

เป็น “วันครุ” (สระอุ) หรือวันแห่งความหนักหน่วงจริงๆ ครับ หนักจนผมต้องขอบันทึกไว้อีกวันหนึ่งเพื่อให้อยู่ในความทรงจำ (แม้จะไม่อยากจำ) ไปอีกนานแสนนาน

“ไทยรัฐ ออนไลน์” พาดหัวยักษ์ไว้ข้างบนสุดตั้งแต่เวลา 8 โมงเช้าว่า “ฝุ่น PM 2.5 กทม.วิกฤติ เช้านี้พุ่งเกินถึงระดับอันตรายสีม่วง มองไปเหมือนหมอกแพร่กระจายหลายพื้นที่ทั่ว กทม.”

ผมเพิ่งกลับจากการเดินออกกำลังในสวนสาธารณะข้างหมู่บ้าน พอนั่งแหมะที่ม้านั่งที่สนามหญ้าหน้าบ้าน ควักมือถือออกมาคลิกดู “ไทยรัฐ ออนไลน์” ด้วยความเคยชินก็เจอหัวข่าวยักษ์ข่าวนี้เลย

ผมอ่านหัวข่าวแล้วก็เกิดอาการสะดุ้งขึ้นมาทันที เพราะลืมที่จะเปิดดูแอปของกรมควบคุมมลพิษก่อนที่ผมจะออกไปเดินเช้านี้ ก็เลยไม่แน่ใจว่าแถวๆ บ้านผมค่าฝุ่นจะอยู่ในระดับไหน?

รีบเปิดแอปกรมควบคุมมลพิษก่อนอะไรทั้งหมด พบว่าค่า PM 2.5 อยู่ที่ “สีส้ม” ซึ่งแปลว่า “เริ่มมีผลกระทบ” หรือ “เริ่มมีอันตราย” นับได้ถึง 50 จุด จากประมาณ 70 กว่าจุดวัดที่เขาตั้งไว้สำหรับ กทม. และปริมณฑล

ส่วนประเภท “สีแดง” นี่แปลว่า “มีผลกระทบ” หรือ “มีอันตราย” แล้วนั้น ก็มีถึง 20 จุด เลยทีเดียว

มี “สีเหลือง” ซึ่งปกติถือว่า “ปานกลาง” หรือ “พอใช้” แต่วันนี้กลายเป็น “ดีที่สุด” อยู่แค่ 2 จุดเท่านั้นเอง คือที่ ตำบลบางพูด อ.ปากเกร็ด นนทบุรี กับที่ แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง กทม.

สำหรับจุดวัดในละแวกบ้านผมคือ แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กทม.นั้น แอปของกรมควบคุมมลพิษกลับระบุว่า “ไม่มีข้อมูล” ซะงั้น

นึกขึ้นมาได้ว่าผมมีเครื่องวัดคุณภาพอากาศเครื่องจิ๋วแบบพกพาได้อยู่เครื่องหนึ่งที่ลูกๆ เขาซื้อมาทิ้งไว้ประจำบ้านนานมาแล้ว…ก็เลยเดินเข้าบ้านหยิบมาลองวัดแถวๆ สนามหญ้าหน้าบ้านด้วยความอยากรู้

เห็นตัวเลขแล้วสะดุ้งโหยงเลยครับ เพราะค่า PM 2.5 ที่ปรากฏในเครื่องวัดของผมสูงถึง 192 โน่นเลย แปลว่าสูงเกือบเต็มเกจ์ของ “สีส้ม” ที่แปลว่า เริ่มมีอันตรายแล้วดังที่กราบเรียนไว้ตอนต้น

อีกนิดเดียวเท่านั้นจะถึง 200 และตั้งแต่ 201 ขึ้นไปจะเข้าสู่เกณฑ์วัด “สีแดง” ที่แปลว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งจะต้องระวังกันอย่างสุดๆ

แต่กระนั้นเกณฑ์ “สีส้ม” ดังกล่าวนี้ ก็เริ่มไม่ค่อยปลอดภัยแล้วละ

โชคดีที่ผมสวมหน้ากากอนามัยป้องกันโควิด-19 อยู่ตลอดในขณะที่เดินออกกำลังก่อนหน้านี้…เจ้า PM 2.5 คงจะทะลุผ่านเข้ามาไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็คงจะเป็นอันตรายแก่ผมน้อยลงหน่อย

จากคำแนะนำทางการแพทย์นั้น การป้องกัน PM 2.5 ที่ได้ผลจะต้องใช้หน้ากาก N95 ซึ่งราคาแพงกว่าหน้ากากทั่วๆ ไป และเวลาสวมจะรู้สึกอึดอัดหน่อย เพราะค่อนข้างหนา หายใจไม่สะดวก

ในปีที่ผ่านมา ผมมักจะสวมหน้ากากอนามัย 2 ชั้น ในช่วงที่ออกไปเผชิญฝุ่นพิษ เพราะแม้จะป้องกันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็เคยมีคนเขียนบอกเล่าไว้ว่า อาจป้องกันได้ถึง 80 เปอร์เซ็นต์

ดังนั้น ในช่วงเวลาที่ฝุ่น PM 2.5 กำลังอาละวาดอยู่นี้ เวลาจะออกไปไหนมาไหน ถ้าสวมหน้ากาก N95 ได้ ก็สวมนะครับ หรืออย่างน้อย ก็ควรจะสวมหน้ากากอนามัย 2 ชั้น อย่างที่ว่า

สรุป…หากจะพูดจาโดยใช้ภาษา “ป๊อกเด้ง” ก็คงต้องบอกว่า ช่วงนี้คนไทยเราเหมือนโดนเจ้ามือกิน 2 เด้ง เลยนะครับ…เด้งแรกก็คือโควิด-19 ส่วนเด้ง 2 ก็คือ PM 2.5 ที่ตามมาติดๆ

วิธีไม่ให้โดนกิน 2 เด้งที่ดีที่สุด ก็คือการ “อยู่กับบ้าน” นั่นเอง เพราะนอกจากจะช่วยในการ “หยุดเชื้อ” เพื่อชาติแล้ว ยังจะทำให้เราปลอดภัยจากฝุ่นพิษ PM 2.5 อีกด้วย

แต่มาคิดอีกทีแค่ 2 เด้งก็ดีแล้ว ขออย่าเป็น 3 เด้งเลย ผมละห่วงมากๆ ว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยจะเจอ 3 เด้งจากภาวะเศรษฐกิจที่มีข่าวว่าเริ่มหดตัวอีกระลอกในไตรมาสนี้

ตกงานไงครับ…เป็นเด้ง 3 ที่หนักหนาสาหัสที่สุด ขอให้โชคดีนะครับท่านผู้อ่านที่เคารพ…จงปลอดภัยจากเด้งที่ 3 ทุกๆ คน ทุกๆ ท่านเทอญ.

“ซูม”

โควิด 19, PM 2.5, ฝุ่นพิษ, วันครู, มลพิษ, ซูมซอกแซก