เมื่อวานนี้ผมเขียนทิ้งท้ายว่า นอกจากคนเก่งสอบได้ที่ 1 ของประเทศไทย และอันดับต้นๆของประเทศไทย รวม 3 ท่าน ที่นำความเก่งของท่านไปช่วยเหลือคนไทยทั้งทางตรงทางอ้อมแล้ว
เรายังมีคนเก่งๆ อีกมากที่นำความเก่งของเขาไปช่วยคนไม่เก่งทั่วประเทศไทย
ในช่วงการเดินสายเพื่อหาความรู้ในการพัฒนาชนบทไทยเมื่อ 30-40 ปีก่อนโน้น…ผมได้พบพานกับผู้คนเหล่านี้จำนวนมากในท้องที่ต่างๆ ทั้งกันดารและไม่กันดารทั่วประเทศ
ผมพบกับเกษตรจังหวัดหลายสิบรายที่นำความรู้ที่เขาได้รับจาก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไปช่วยพี่น้องชนบท
ได้พบกับบัณฑิตปริญญาโท ปริญญาเอก ด้านการเกษตรจากต่างประเทศ จำนวนมากเช่นกัน ประจำอยู่ตามสถานีทดลองด้านการเกษตรต่างๆ
ผมเคยเขียนให้กำลังใจนักวิจัยพันธุ์ข้าวไทยตามสถานีข้าวหลายครั้ง รวมทั้งเคยให้กำลังใจนักวิจัยประมงตามสถานีประมงทั่วประเทศหลายๆ ครั้งเช่นกัน
เขาเหล่านี้อยู่กับท้องนาท้องไร่ นั่งดูเมล็ดข้าว นั่งดูต้นข้าวที่เจริญเติบโตขึ้นในแต่ละวัน
ในขณะที่นักวิจัยประมงก็นั่งดูปลา มีความสุขกับพันธุ์ปลาที่พวกเขาฟูมฟักเพาะเลี้ยง
หลายๆ คนเป็นนักเรียนเตรียมอุดมรุ่นไล่ๆ กับผมที่สอบได้คะแนนดีมาก จะเรียนอะไรก็ได้ แต่มุ่งหน้าไปเรียนที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในคณะกสิกรรมและสัตวบาลบ้าง คณะประมงบ้าง ฯลฯ
ด้วยความเสียสละของคนเก่งเหล่านี้แหละครับที่ทำให้ประเทศไทยของเรามีข้าวพันธุ์ดีๆ และพันธุ์ใหม่ๆ ที่คุณภาพดีกว่าพันธุ์เก่ามาให้ชาวนาไทยปลูกทั้งปลูกกินเองและปลูกขายต่างประเทศมาตราบเท่าทุกวันนี้
รวมทั้งมีพันธุ์ปลาใหม่ๆ พันธุ์พืชผักผลไม้ใหม่ๆ ทยอยออกมากิน ออกมาขายไม่ขาดระยะในปัจจุบัน
คนเก่งอีกกลุ่มที่ผมขออนุญาตแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจก็คือ “คุณหมอ” ผู้เสียสละทั้งหลายที่ลงไปประจำโรงพยาบาลอำเภอทั่วประเทศ
เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว ในช่วงป๋าเปรมเป็นนายกฯ เราเพิ่งสร้างโรงพยาบาลอำเภอครบทุกอำเภอเป็นครั้งแรก แต่ไม่มีหมอไปประจำ
ทางรัฐบาลโดยกระทรวงสาธารณสุขและมหาวิทยาลัยที่มีคณะแพทยศาสตร์ก็ช่วยกันคิดระบบ “หมอใช้ทุน” โดยถือว่าผู้จบแพทย์เป็นผู้ใช้เงินทองของประเทศหัวละหลายแสนหลายล้านบาท ควรจะไปทำงานใช้ทุนจากภาษีอากรของประชาชนสัก 2-3 ปี
ทำให้เรามีคุณหมอหนุ่มสาวลงไปประจำโรงพยาบาลอำเภอจนครบถ้วน…ซึ่งแรกๆก็ไปแบบจำใจ เพราะโดนบังคับ
แต่หลายรายทีเดียวที่ไปแล้วก็เกิดความรักความเห็นใจพี่น้องชนบทที่ขาดแคลนอดอยากยากจน…ตัดสินใจตั้งรกรากอยู่ในอำเภออยู่จังหวัดนั้นเลย
ไม่เพียงเท่านี้ เรายังมีผู้จบด้านรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ ลงไปเป็นปลัดอำเภอ พัฒนาการอำเภออีกนับหมื่นๆ คนทั้ง 4 ภาค
มีส่วนช่วยในการพัฒนาความเป็นอยู่ของพี่น้องในต่างจังหวัด จนลืมตาอ้าปากขึ้นได้เป็นอันมาก
นายช่างใหญ่ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตเอย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเอย ล้วนจบมาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ ในขณะที่นายช่างใหญ่คุมการสร้างทางทั้งเส้นทางใหญ่ และทางหลวงชนบทเกือบทั้งหมดก็มาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆเช่นกัน
นี่คือระบบ “คนเก่ง” ออกไปช่วยคนไม่เก่งของประเทศที่ผ่านมาตลอด 30-40 ปีที่แล้ว
ดังนั้นไม่ว่าจะปฏิรูปจะพัฒนาการศึกษาไทยอย่างไร เพื่อให้เด็กไทยโดยเฉลี่ยเรียนเก่งมากขึ้น สอบ PISA ได้คะแนนดี และอันดับสูงขึ้นก็ทำไปเถิด
แต่อย่าลืมว่าโดยธรรมชาติของมนุษย์ ยังไงๆ ก็เก่งเท่ากันทั้งหมดไม่ได้…ยังต้องมีคนเก่งมาก คนเก่งน้อยอยู่ตลอดไป
ฉะนั้น ทำอย่างไรจะให้เด็กเก่งมากยังอยู่กับประเทศไทย รักเมืองไทย และพร้อมจะช่วยเด็กไม่เก่งทั่วไทยเหมือนที่รุ่นปู่ รุ่นย่า รุ่นพ่อ รุ่นแม่ของเขาประพฤติปฏิบัติและอุทิศตนเพื่อประเทศไทยในช่วง 30-40 ปีที่ผ่านมา…ขอได้โปรดทำต่อไปเถอะ
ระบบที่งดงามและเป็นหนึ่งเดียวของโลกเช่นนี้…ควรจะต้องเก็บรักษาไว้เคียงคู่กับประเทศไทยไปตราบกาลนิรันดร์นะครับ…ผมว่า.
“ซูม”