ในที่สุดปัญหาเรื่องงบประมาณสำหรับจัดซื้อเรือดำนํ้าเพิ่มเติมอีก 2 ลำ รวม 3,925 ล้านบาท ที่กองทัพเรือตั้งไว้ในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2564 ก็จบลงโดยกองทัพเรือขอตัดทิ้งทั้งหมด
โดยมีหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการจากปลัดบัญชีทหารเรือทำการแทนผู้บัญชาการทหารเรือไปถึงประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ในช่วงบ่ายๆ ของวันจันทร์ที่แล้ว
ก่อนหน้านั้นโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงแก่ผู้สื่อข่าวว่า รัฐบาลจะเลื่อนการจัดซื้อเรือดำนํ้าไปอีก 1 ปี เพื่อแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลรับฟังความคิดเห็นของหลายๆ ฝ่าย โดยเฉพาะเสียงจากประชาชนที่เห็นว่ายามนี้ประเทศชาติควรนำเงินไปใช้จ่ายในด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจมากกว่าการซื้อยุทโธปกรณ์
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรียํ้าว่า ให้รอคำแถลงจากกองทัพเรือในช่วงบ่ายๆ อีกครั้ง และต่อมาก็ได้มีการเผยแพร่หนังสือยืนยันให้ตัดงบซื้อเรือดำนํ้าทั้งหมดของกองทัพเรือฉบับดังกล่าว
โดยส่วนตัวผมเองมิได้คัดค้านโครงการนี้แบบสุดลิ่มทิ่มประตู เพราะเล็งเห็นถึงความจำเป็นทางด้านความมั่นคงของประเทศที่ควรจะต้องมีอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยเอาไว้ใช้บ้าง
ถ้าเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในเกณฑ์ดีเหมือนเมื่อก่อน การที่จะใช้เงินเพื่อสร้างเขี้ยวเล็บทางทะเลด้วยวงเงิน 36,000 ล้านบาท สำหรับ เรือดำนํ้า 3 ลำ ถือเป็นเรื่องไม่เหลือบ่ากว่าแรงและสามารถผ่อนส่งได้ด้วย จึงไม่เป็นภาระแก่งบประมาณมากนัก
จำได้ไหมครับยุคที่เศรษฐกิจดีน่ะ รัฐบาลเก่าๆ เอาไปถลุงในโครงการไร้ประโยชน์ไม่รู้กี่แสนล้านบาท ยังไม่สะดุ้งสะเทือนเลย
หรือแม้แต่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว ก็มีโครงการ ประชานิยม แจกเงินโน่นนี่ไปหลายแสนล้านบาทอย่างสุรุ่ยสุร่าย
แต่มาถึงตอนนี้เงินทุกบาททุกสตางค์มีค่ามาก จะใช้จะสอยแต่ละบาท ต้องคำนึงถึงประโยชน์และผลตอบแทนที่จะได้รับว่าคุ้มหรือไม่? เพียงไร?
ผมจึงเห็นด้วยกับเสียงคัดค้านที่จะมิให้ซื้อเรือดำน้ำในตอนนี้กับเขาด้วยแรงหนึ่ง
จริงๆ แล้วเงินที่ชะลอหรือประหยัดได้จากโครงการซื้อเรือดำน้ำ จำนวน 3,925 ล้านบาทนั้น เทียบกับเงินที่รัฐบาลเตรียมไว้เพื่อฟื้นฟู เศรษฐกิจทั้งเงินกู้และงบประมาณแผ่นดินก้อนมหึมาแล้ว เพียงแค่หยิบมือเดียวเอง
แต่มีผลทาง “จิตวิทยา” อย่างสูงยิ่ง เพราะแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญแก่การแก้ปัญหาเศรษฐกิจและต้องการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบในครั้งนี้
จึงต้องขอบคุณ “บิ๊กตู่” ที่แม้จะคิดช้าไปหน่อย แต่ก็เข้าทำนอง “มาช้ายังดีกว่าไม่มา” หรือ “คิดช้าก็ยังดีกว่าไม่ได้คิด” ที่สั่งถอยในที่สุด
ก็ขอให้รัฐบาลนำเงินก้อนนี้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการฟื้นฟูเศรษฐกิจดังที่ทุกๆฝ่ายตั้งใจไว้
รวมทั้งเงินก้อนใหญ่อื่นๆ ด้วย โดยเฉพาะเงินกู้จำนวน 4 แสนล้าน บาท จากยอดเงินกู้ตาม พ.ร.ก.ในวงเงิน 1 ล้านล้านบาท ที่จะใช้ทำโครงการโน่นนี่ที่สภาพัฒน์ช่วยดูแล ซึ่งไม่ทราบว่ามาถึงบัดนี้ผ่านไปกี่โครงการ? ทำอะไรไปแล้วบ้าง? มีประโยชน์โพดผลแค่ไหน?
กว่าเราจะได้ 3,925 ล้านบาท กลับมาจากกองทัพเรือต้องต่อสู้ต้องเรียกร้องกันอย่างหนัก และเราก็ต่อว่าทหารเรือเขาว่าประเทศย่ำแย่อย่างนี้ยังจะใช้เงินแบบนี้อีกหรือ ฯลฯ
ฉะนั้น เราก็จะต้องดูแลภาคพลเรือนของเราด้วย ที่ได้วงเงินไปใช้จ่ายดำเนินการเพื่อโครงการต่างๆ ถึง 4 แสนล้านบาทดังกล่าว ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติอย่างแท้จริง โดยไม่มีการรั่วไหลไปเข้าพกเข้าห่อใครๆ แบบเบี้ยบ้ายรายทางแต่อย่างใดทั้งสิ้น
เศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้หรือไม่อยู่ที่เงินกู้ก้อนใหญ่ก้อนนี้นะครับ…อย่ามัวแต่ดูหรือเข้มงวดเฉพาะงบที่ได้จากเรือดำน้ำแค่ไม่กี่พันล้านบาท เสียจนลืมดูงบหลายๆ แสนล้านบาทก็ละกัน.
“ซูม”