บนเส้นทางสู่ “บ้านกรูด” รอยยิ้มใต้หน้ากากอนามัย

ผมก็คงเหมือนกับท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านทั่วประเทศไทยแหละครับที่รู้สึกเครียดและอึดอัดกับภาวการณ์ “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ตามนโยบายร่วมแรงร่วมใจ คนไทยทั้งชาติเพื่อต่อสู้กับเจ้าไวรัสมหาภัยโควิด-19 ที่ระบาดไปทั่วโลก รวมทั้งในบ้านเรา

คนไทยเป็นคนรักอิสระเสรี ชอบเดินทาง ชอบท่องเที่ยว ชอบออกจากบ้าน ชอบไปเดินตลาด ชอบไปงานบุญไปงานวัดร่วมกับเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ชอบไปกินกาแฟนอกบ้าน ฯลฯ

เมื่อจู่ๆ จะต้องถูกกักตัวอยู่กับบ้าน หรือหากมีความจำเป็นจะต้องออกนอกบ้านก็จะต้องสวมหน้ากากอนามัย ต้องล้างมือด้วยเจล หรือสบู่บ่อยๆ (จนถึงขั้นบางครั้งต้องพกขวดเจลเล็กๆ ติดตัวไปด้วยแทนยาหม่อง) แถมต้องไปยืนห่างๆ นั่งห่างๆ ตามกฎ Social Distancing ฯลฯ ก็เริ่มรู้สึกอึดอัดไปตามกันๆ กัน

จะไม่ให้คนไทย (ความจริงก็คนทั้งโลกนั่นแหละ) รู้สึกเครียด อึดอัด และรอวันที่เราจะสามารถลด หรือปลดปล่อย คลายเครียดนั้นๆ มาโดยตลอดได้อย่างไรล่ะครับ

ดังนั้น เมื่อทุกๆ อย่างเริ่มคลี่คลายลงเป็นลำดับ แม้จะยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์คนไทยเราจึงรู้สึกตื่นเต้น ยินดีและตอบสนองการผ่อนปรนทุกระดับตั้งแต่ระดับที่ 1 มาถึงระดับที่ 4 หรือเฟส 4 กันอย่างคึกคัก จนบางครั้งถึงขั้นโกลาหล อลหม่าน จนกระทรวงสาธารณสุขต้องออกมาตะโกนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า “การ์ดอย่าตก” อยู่ทุกวันนี้

ผมเองก็เช่นเดียวกันครับ รอคอยวันปลดล็อก และพร้อมจะร่วมฉลองการปลดล็อกในทุกระดับดังที่ได้บันทึกเหตุการณ์เอาไว้ในคอลัมน์หลายๆ ครั้ง

อยู่มาวันหนึ่งเมื่อกลางๆ เดือนพฤษภาคมก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนรักเกลอเก่าที่ร่ำเรียนด้วยกันมาที่คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ คุณประกิต อภิสารธนรักษ์ ประธานบริษัทโฆษณาระดับแนวหน้าของประเทศที่เป็นบริษัทเชื้อชาติไทย สัญชาติไทยขนานแท้

เชิญชวนผมพร้อมครอบครัวให้เตรียมตัวไปพักผ่อนกินลมชมทะเลที่ชายหาดบ้านกรูด อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ดังเช่นที่เรา 2 ครอบครัวไปเที่ยวด้วยกันมาแล้ว 2 ปีซ้อนๆ

คุณประกิตคาดว่า ถ้าเราออกเดินทางในกลางเดือนมิถุนายน ทุกสิ่งทุกอย่างคงจะคลี่คลายไปเยอะแล้ว คงจะเที่ยวได้อย่างสบายใจพอสมควร

ซึ่งก็เป็นไปตามคาด เพราะแม้วันที่พวกเราออกจาก กทม. เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มิถุนายนที่ผ่านมา การคลายล็อกเฟซ 4 จะยังไม่เริ่ม แต่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็พาดหัวล่วงหน้าแล้วว่าจะมีการประชุมเพื่อคลายล็อก โดยเฉพาะจะมีการเลิกเคอร์ฟิวด้วยในวันจันทร์ที่ 15 มิถุนายน

ทำให้บรรยากาศการเดินทางของครอบครัวที่ตัดสินใจข้ามฟากจากด้านตะวันออกของ กทม.มาสู่ฝั่งตะวันตก เพื่อใช้เส้นทางพุทธมณฑลนครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี ฯลฯ เพราะไม่อยากฝ่าโครงการซ่อมถนน “7 ชั่วโคตระ” ที่ พระราม 2 ไปสู่ประจวบคีรีขันธ์ เป็นไปอย่างสดชื่น

ทุกปั๊มที่เราแวะเติมนํ้ามัน มีรถที่เริ่มออกเดินทางมากขึ้นและมาร่วมเติมด้วยอย่างหนาตา

ร้านอาหารรอบๆ ปั๊มมีผู้คนอุดหนุนหนาแน่น แม้จะยังไม่คึกคักเต็มที่เหมือนก่อนๆ

เราไปแวะรับประทานข้าวกลางวันที่ร้านข้าวแกง “แม่ล้วน” ที่อำเภอเขาย้อย จังหวัดเพชรบุรี เหมือนทุกครั้ง

ผู้คนอาจจะลดลงไปบ้าง ไม่หนาแน่นเหมือนเดิม นั่งกระจายๆ กันอยู่ น่าจะเกินกว่าครึ่งหนึ่งของที่นั่งในร้าน

ที่หน้าร้านมีอ่างล้างมือ มีกระปุกเจลวางรอไว้ และก่อนเข้าร้านจะต้องโดนตรวจอุณหภูมิวัดไข้เป็นรายคนอย่างเข้มงวด

ลูกค้าและพนักงานสวมหน้ากากร้อยเปอร์เซ็นต์ ระหว่างเดินชี้นิ้วสั่งซื้ออาหารที่ยังคงเรียงใส่ถาดไว้ยาวเหยียดเช่นเดิม และเมื่อยกอาหารไปจ่ายเงิน พร้อมเดินไปที่โต๊ะ ซึ่งทางร้านอนุญาตให้คนที่มาด้วยกันนั่งรับประทานโต๊ะเดียวกันได้

ผมและครอบครัวค่อยๆ ถอดหน้ากากอนามัยออกและมองไปรอบๆ ร้านข้าวแกง “แม่ล้วน” ก็พบว่าลูกค้าทุกคนนั่งประทานด้วยความเอร็ดอร่อยและด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใส (หลังถอดหน้ากากแล้วเช่นกัน)

ผมเชื่อว่าทุกคนที่เข้ามาในร้านนี้ยิ้มแย้มแจ่มใสตั้งแต่ยังไม่ได้ถอดหน้ากากแล้วละครับ เพราะข่าวปลดล็อกเฟส 4 ที่กระหึ่มอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ตั้งแต่เช้าแล้วอย่างที่ผมเล่าไว้ตอนต้น

“ซูม”