เมื่อวานนี้ผมเขียนถึง 2 ประเทศระดับโลก ที่ยอดติดเชื้อเพิ่งจะมาพุ่งแรงแซงทางโค้งในขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่เคยติดเยอะเริ่มจะชะลอกันบ้างแล้ว ได้แก่ รัสเซียกับบราซิลนั่นเอง
ผมตำหนิผู้นำบราซิลที่ดื้อรั้นไม่เห็นแก่ชีวิตประชาชน มองว่าโควิด-19 เป็นเรื่องเล่นๆ ถึงขั้นปลดรัฐมนตรีสาธารณสุข ที่เสนอให้ใช้บทเข้มเพื่อตัดตอนการระบาดของเจ้าโควิด-19
ส่งผลให้กลับมาคลายล็อกเร็ว หลังเปลี่ยนรัฐมนตรีสาธารณสุขใหม่ และตามมาด้วยยอดติดเชื้อที่กระฉูดขึ้นและมีผู้เสียชีวิตมากขึ้น
ส่วนของรัสเซียนั้น ผมเขียนแสดงความเห็นใจท่านวลาดีเมียร์ ปูตินไว้สั้นๆ เพราะแม้ท่านจะถูกวิจารณ์บ้างตอนแรกๆ ว่า ช้าอืดอาด แต่ก็มิได้ออกมาขวางแบบผู้นำบราซิลและต่อมาก็สั่งการให้สู้เต็มที่
ในระยะแรกๆ รัสเซียก็ทำได้ดีพอสมควร ควบคุมการระบาดเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง แค่มา “โป๊ะแตก” ยอดติดเชื้อวันละหมื่นคนเศษ ติดต่อกันหลายวันในภายหลัง จนทำให้รัสเซียมียอดติดเชื้อรวมเกือบ 2 แสน แผล็บเดียวขึ้นมาเป็นอันดับ 5 ของโลก แซงเยอรมนี แซงฝรั่งเศสเรียบร้อย
วันนี้ผมขออนุญาตเขียนเรื่องรัสเซียต่อนะครับ เพื่อจะถอดบทเรียนว่าเกิดอะไรขึ้นกับดินแดนหมีขาวถึงขั้นเกิดอาการเป๋ในยกท้ายๆ
ย้อนกลับไปดูตัวเลขของรัสเซียจะเห็นได้ว่ายอดติดเชื้อใหม่กระฉูดผ่านหลักหมื่นครั้งแรกคือ 10,633 ราย เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคมนี่เอง หลังจากนั้นก็เกินหมื่นมาตลอด รวมๆ แล้ว 8 วันติดต่อกัน
ท่านทูตไทยประจำรัสเซีย ธนาธิป อุปัติศฤงค์ ให้สัมภาษณ์มติชน รายวันว่าสาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็คือ ปฏิบัติการเชิงรุกเพิ่มปริมาณการตรวจเชื้อขึ้นเป็น 150,000 คนต่อวัน ทำให้พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น
สาเหตุที่สองซึ่งก็สำคัญมากก็คือ ชาวรัสเซียไม่เข้มงวดในการปฏิบัติตามแนวทางการเว้นระยะห่างทางสังคมเท่าในช่วงแรกๆ
ท่านทูตกล่าวในประเด็นนี้ว่า “ในช่วงเดือนมีนาคม ประชาชนให้ความร่วมมือในการทำงานที่บ้านและกักบริเวณในบ้านพักค่อนข้างดี แต่พอมาถึงเดือนเมษายนและพฤษภาคม คนออกมานอกบ้านและไปทำงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด”
ความเห็นของท่านทูตธนาธิปสอดคล้องกับรายงานข่าวของสื่อต่างประเทศหลายสำนักที่ระบุว่า ช่วงวันหยุดวันกรรมกร 1-3 พ.ค.ที่ผ่านมา มีการแหกกฎของชาวรัสเซียในเมืองใหญ่ๆ สูงมาก โดยเฉพาะในมอสโก ผู้คนทะลักออกมาเต็มบริเวณจัตุรัสสำคัญๆ ทุกแห่ง
กรณีของรัสเซียจึงต่างกับบราซิลโดยสิ้นเชิง เพราะทางภาครัฐยังเอาจริงและเข้มข้นอยู่เหมือนเดิม โดยมีประกาศที่เรียกว่า Stay at home Order หรือล็อกดาวน์มาตั้งแต่ปลายมีนาคม และยืดออกไปถึง 31 พ.ค.นี้ แต่ประชาชนจำนวนมากเริ่มอึดอัดและไม่ทำตามมาตรการ Social Distancing ของรัฐบาลในช่วงหลังๆ
กระนั้นรัสเซียก็ยังมีจุดแข็งในด้านการรักษาพยาบาล เพราะการตรวจพบเร็ว รักษาเร็ว ประกอบกับผู้ติดเชื้ออยู่ในวัยทำงาน จึงมีความ แข็งแรง หายจากโรคโควิด-19 เป็นส่วนใหญ่ ทำให้ยอดเสียชีวิตค่อนข้างตํ่า
สถานการณ์ของรัสเซียจะจบอย่างไรคงต้องจับตาดูกันต่อไป
ถ้าจะถอดบทเรียนรัสเซียมาเทียบกับเราก็คงสรุปได้ว่า แม้รัฐบาลจะยังเข้มข้นอยู่ แต่ถ้าประชาชนเริ่มอึดอัด เริ่มไม่ฟังรัฐบาลและพากัน ปล่อยตัว ไม่รักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวดก็จะเป็นสาเหตุสำคัญทำให้ยอดติดเชื้อใหม่เพิ่มอย่างรวดเร็ว
ของเราพอรัฐบาลเริ่มคลายล็อก ประชาชนซึ่งอึดอัดมานาน ดูเหมือนจะคลายเร็วกว่า มีการปล่อยตัวหย่อนยานมาตั้งแต่ 3 พฤษภาคม
มาถึงวันนี้นับจากวัน “ฝูงแร้งแย่งซื้อเหล้า” ที่เป็นข่าวพาดหัว ทุกฉบับและตลาดสดทุกแห่งแน่นเอี๊ยดครบ 7 วันพอดี รวมทั้งเหตุการณ์ “หายใจรดต้นคอ” บน BTS ก็ครบ 5 วันพอดี
ยอดติดเชื้อใหม่ของเรายังอยู่ที่หลักตํ่าสิบ วันไหนเกิน 10 ก็เป็นชาวต่างประเทศที่โดนกักขังตัวอยู่ไม่เกี่ยวกับคนไทย ทำให้สบายใจว่าคงไม่เหมือนรัสเซียละน่า
เอ้า! รอให้ครบ 14 วัน หลังจากคลายล็อกวันแรกจะมีผู้ติดเชื้อทะลักแบบเขาหรือไม่? ถ้าไม่ทะลักก็คงเป็นอย่างที่ผมเคยเขียนไว้แหละครับว่า…ประเทศไทยของเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง!
“ซูม”