รวมพลัง “รัฐ”+“เอกชน” ความสำเร็จยิ่งใหญ่ในอดีต

ผมนั่งเขียนต้นฉบับวันนี้ในช่วงบ่ายๆ ของวันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน น่ะครับ จึงยังไม่ทราบว่ามหาเศรษฐี 20 รายที่บิ๊กตู่จะเขียนจดหมายไปถึงนั้น จะเป็นใครบ้าง?

ที่สำคัญ…ยังไม่ทราบว่าเนื้อหาในจดหมายที่บิ๊กตู่จะพรรณนาโวหารไปถึงนั้น จะมีใจความว่าอย่างไร? ทราบแต่เพียงที่ท่านรองนายกฯ ดร.วิษณุ เครืองาม ท่านแถลงว่าไม่ใช่จดหมายขอเงินอย่างแน่นอน

พูดถึงเรื่อง ขอเงิน ผมเชื่อ ดร.วิษณุครับ เพราะเท่าที่นั่งฟังบิ๊กตู่ ท่านพูดทางโทรทัศน์ ผมไม่ได้ยินว่าท่านพูดถึงเรื่องเงินแม้แต่คำเดียว

อย่างที่ผมคัดลอกมาลงเมื่อวานแหละครับ…คำเด็ดๆ ที่ท่านพูดถึงท่านมหาเศรษฐี ก็เช่น จะเชิญมาร่วมเป็น “ทีมประเทศไทย” ไม่เบานะครับ เท่ากับได้เป็นทีมชาติ หรือทีมช้างศึกเลยทีเดียว

ส่วนสิ่งที่ท่านอยากได้จากเศรษฐีนักธุรกิจนั้น ท่านก็บอกว่า “ขอให้แบ่งปัน ความสามารถ และ ความฉลาดหลักแหลม รวมทั้งมุมมองอันมี วิสัยทัศน์ ใช้องค์กรที่มี ศักยภาพสูง ของท่านมาช่วยจัดการกับวิกฤติที่เรากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้”

เห็นไหมครับ ความสามารถ เอย ความฉลาดหลักแหลม เอย วิสัยทัศน์ เอย ศักยภาพสูง เอย คือสิ่งที่ท่านอยากได้และจะส่งจดหมายไปขอ 20 เศรษฐี ไม่มีคำว่า “เงินทอง” อะไรสักนิดเดียว

ไหงกลายเป็น #รัฐบาลขอทาน ไปได้ก็ไม่รู้ซี ถึงขนาดติดแฮชแท็กในทวิตเตอร์ขึ้นอันดับท็อปเทน ไทยแลนด์ ไปเลยทีเดียว

ผมก็ได้แต่เห็นใจเท่านั้นละครับ…ทว่าคงไม่แก้ต่างอะไรให้ท่านหรอก เพราะที่ท่านพูดอะไรไว้อย่างหนึ่ง แถมพูดดีเสียด้วย กลับมีคนเอาไปแปลความเป็นอีกอย่าง แถมแปลผิดด้วย ยังมีคนเชื่อมากมาย เอาไปพูดต่อๆ โดยไม่สิ้นสุดนั้น เป็นความสามารถเฉพาะตัวของท่านที่จะต้องหาทางแก้ต่างด้วยตัวท่านหรือทีมงานของท่านเอาเอง

ขออนุญาตปกป้องเฉพาะ “หลักการ” นะครับ ว่าความคิดที่จะดึง “เศรษฐี” หรือ “ภาคเอกชน” มาช่วยแก้วิกฤติเศรษฐกิจของประเทศนั้น เป็นเรื่องจำเป็นและถูกต้อง และไม่ใช่เป็นการขอทานแต่อย่างใด

จากประสบการณ์ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจในยุค พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ที่เผชิญวิกฤติด้านขาดดุลการค้าและดุลชำระเงินจนต้องลดค่าเงินบาทครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ.2527-2528 ทำให้ผมเชื่อมั่นในพลังของภาคเอกชนมาจนถึงเดี๋ยวนี้

หลังจากลดค่าเงินบาทจนเกิดปัญหาด้านการเมืองและการทหาร แต่ป๋าก็สามารถจัดการจนอยู่หมัดแล้วท่านก็แต่งตั้ง ดร.เสนาะ อูนากูล เลขาธิการสภาพัฒน์ ใน พ.ศ.ดังกล่าว ให้เป็นแม่ทัพกู้เศรษฐกิจหลังลดค่าเงินบาทโดยมิชักช้า

ท่านอาจารย์เสนาะท่านก็จัดทัพโดยเชิญภาคเอกชนเข้ามาร่วมในคณะกรรมการและอนุกรรมการทุกชุดที่ตั้งขึ้น

ช่วงนั้นเพิ่งจะมีการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่เรียกว่า กรอ. ขึ้นหมาดๆ เมื่อมีการตั้งกรรมการชุดพิเศษเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังลดค่าเงินบาท ทางฝ่ายภาคเอกชนก็ส่งมือดีๆ มาร่วมทำงานกับภาคราชการในคณะกรรมการทุกชุด

ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่าสงครามเศรษฐกิจครั้งนั้น ประเทศไทยชนะอย่างงดงาม สามารถพลิกสถานการณ์จากประเทศที่ใกล้ “ถังแตก” ให้กลายเป็นประเทศ “โชติช่วงชัชวาล” ได้อย่างเหลือเชื่อ

ถ้าจะถามผมว่า อะไรคือปัจจัยหลักที่ทำให้ประเทศไทยชนะศึกครั้งนั้น? ผมก็ขอตอบด้วยความมั่นใจ เพราะได้เห็นกับตาว่ามาจากการร่วมมือที่ใกล้ชิดแนบแน่น ช่วยกันคนละมือ คนละไม้ ระหว่าง ภาครัฐ กับ ภาคเอกชน นั่นเอง

เพราะถ้าจะว่าไปแล้ว ผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจตัวจริง เสียงจริง…จะลงทุนหรือไม่? จะสู้หรือไม่? ก็คือภาคเอกชนทั้งสิ้น ภาคราชการมีหน้าที่เพียงจุดพลุให้และลงทุนนำทางในบางเรื่องเท่านั้น

เท่าที่ทราบ ระบบ กรอ. ทุกวันนี้ก็ยังอยู่ แต่อาจเป็นเพราะศึกครั้งนี้เป็นที่หวั่นกันทั่วโลกว่าจะหนักหนาสาหัสกว่าทุกครั้ง ทำให้บิ๊กตู่ท่านตัดสินใจจะออกจดหมายเชิญ 20 มหาเศรษฐีภาคเอกชนมาร่วม ทีมไทยแลนด์ โดยตรงเพื่อสู้ศึกดังกล่าว

ก็ขอถือโอกาสนี้ให้กำลังใจนักรบเศรษฐกิจทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน อีกครั้ง…อย่างที่ผมเคยเขียนแหละครับว่า ในสงครามป้องกันชีวิตประชาชนจากโควิด-19 “นักรบเสื้อกาวน์” ทำหน้าที่ได้ดีมาก…ถึงเวลา “นักรบเศรษฐกิจ” เมื่อไร อย่าให้แพ้คุณหมอ คุณพยาบาล ก็แล้วกัน!

“ซูม”