ขาดทั้ง “หน้ากาก” ทั้ง “เจล” จะสู้ “โควิด–19” ได้ยังไง?

ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับวันนี้หนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวยักษ์หน้า 1 เหมือนๆกันว่า คนไทยที่ติดเชื้อ “โควิด-19” เสียชีวิตแล้วเป็นรายแรก เมื่อวันที่ 29 ก.พ. หลังจากเข้ารับการรักษาสถาบันบำราศนราดูรเป็นเวลาประมาณ 24–25 วัน

กระทรวงสาธารณสุขแถลงว่า ผู้เสียชีวิตป่วยเป็นไข้เลือดออกก่อนแล้วติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำ คณะแพทย์พยายามรักษาจนไม่มีเชื้อไวรัสในร่างกายเมื่อตอนเสียชีวิต แต่เนื่องจากสภาพปอดเสื่อมมาแต่เดิม ในขณะที่หัวใจและอวัยวะภายในก็ทำงานหนักทำให้อวัยวะภายในหลายระบบล้มเหลว จึงเสียชีวิตในที่สุด

ผมขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวและญาติมิตรของผู้เสียชีวิตไว้ ณ ที่นี้ ขณะเดียวกันก็ขอขอบคุณและให้กำลังใจคณะแพทย์และพยาบาลทุกท่านที่ทุ่มเทรักษาแล้วอย่างสุดความสามารถ

โดยส่วนตัวผมเองระหว่างอ่านข่าวนี้ เกิดความรู้สึกขึ้นหลายๆ อย่างเลยครับ เพราะมองเห็นภาพประกอบข่าวอย่างชัดเจน เนื่องจากต้องทำหน้าที่เขียนเรื่องซอกแซกในวันอาทิตย์ ทำให้ต้องซอกแซกไปโน่นนี่อยู่เสมอ

เมื่อข่าวบอกว่าผู้เสียชีวิตทำงานอยู่ในบริษัทที่เป็นคู่ค้าของ บริษัท คิง เพาเวอร์ ที่สาขา ศรีวารี ภาพของสาขาศรีวารีก็ลอยเด่นเข้ามาในจินตนาการของผมทันทีทันควัน

เพราะเคยไปซอกแซกรับประทานอาหารที่ภัตตาคารที่เขาบริการทัวร์จีนของที่นี่มาแล้ว ยังกลับมาเขียนบรรยายความใหญ่โตของสาขานี้ในคอลัมน์นี้ท่านผู้อ่านหลายท่านคงจะพอจำได้

ในวันที่ผมไปรับประทานอาหารพบว่าทัวร์จีนหลายหมื่นคนแวะไปอุดหนุนจนแน่นขนัดไปทั้งสาขาศรีวารี ดังนั้น เมื่อข่าวบอกว่าผู้เสียชีวิตติดเชื้อมาจากนักท่องเที่ยวจีน ผมก็เชื่อทันทีว่าเป็นไปได้ตามข่าวแน่นอน

ครั้นเมื่ออ่านข่าวมาถึงตอนที่รายงานว่า บริษัท คิง เพาเวอร์ ได้สั่งปิดและคลีนสาขาศรีวารีแล้วตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ จนบัดนี้ยังไม่เปิด ผมก็เห็นภาพอีกว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่มีต่อประเทศไทยคงใหญ่หลวงอย่างที่ทุกๆ ฝ่ายรายงาน

เพราะคนไทยนับพันคนที่ทำงานอยู่ที่นี่ คงจะต้องหยุดงานไประยะหนึ่งและจะกลับมาเปิดใหม่ได้เมื่อไรยังไม่รู้? หรือเปิดแล้วจะมีทัวร์จีนเดินทางมาล้นหลามแบบที่ผมเคยเห็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ เพราะจีนเขาก็หนักมาก จะใช้เวลาฟื้นตัวอีกกี่เดือนกี่ปียังไม่รู้เช่นกัน?

ครับ! ก็เป็นเรื่องใหญ่ที่รัฐบาลจะต้องคิดและหาหนทางในการแก้ปัญหาต่อไปหลังจากนี้…แต่ ณ บัดนี้ผมฝากให้คิดถึงวิธีต่อสู้กับไวรัสมหาภัยและการปกป้องคนไทยให้ “รอด” จากโรคนี้เอาไว้ก่อน…

ที่ผมเป็นห่วงมากๆ ก็เรื่องสู้รบปรบมือกับไวรัสโควิด-19 นี่แหละครับ แม้กระทรวงสาธารณสุขจะเข้มแข็งมาก แต่ก็ยังมีการบริหารจัดการบางเรื่องที่คนไทยรู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เกรงว่าจะรับมือไม่ไหว

เพราะในขณะที่สถานการณ์เข้มข้นขึ้น และคนไทยพร้อมจะร่วมมือในการต่อสู้และป้องกันตัวเองนั้น ดูเหมือนว่าอาวุธที่จะใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัวจะไม่ค่อยพอเพียงเท่าไรนัก

โดยเฉพาะ “หน้ากากอนามัย” กับ “เจลล้างมือ” อาวุธหลักทำท่าว่าจะเกิดภาวะขาดแคลนขึ้นมาเสียแล้ว

เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมแวะไปร้านขายยาหลายแห่งได้รับคำตอบว่า “ไม่มีครับ” “ขาดตลาดค่ะ” จากทุกๆ ร้าน

ชักใจเสียเหมือนกันนะครับเนี่ย…จะให้สู้กับไวรัสตัวร้าย แต่กลับไม่มีอาวุธ ไม่มีเกราะป้องกันตัว แล้วจะไปสู้ได้ยังไงล่ะเนี่ย?

เขียนมาถึงตอนนี้ก็มีข่าวว่ากระทรวงสาธารณสุขกำลังจะออกแจกหน้ากากอนามัยเป็นแสนๆ ชิ้น และท่านรองนายกฯ และ รมต.สาธารณสุข “หมอหนู” จะนำทีมแจกด้วยตนเอง

ก็ต้องขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ แต่ผมว่าถ้าท่านจะกรุณาช่วยเร่งรัดหัวหน้ารัฐบาลของท่านให้ไปดำเนินการเร่งผลิตทั้งหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือให้เร็วที่สุด แล้วนำมาวางจำหน่ายให้ทั่วถึงในราคายุติธรรมจะดีกว่า

สำหรับประชาชนบางกลุ่มคงไม่สะดวกจะไปเข้าคิวรับแจก แต่เขาพร้อมจะซื้อและออกเดินหาซื้อควั่กในขณะนี้ขอให้มีขายก็แล้วกัน

เร่งมือหน่อยนะครับ บิ๊กตู่ครับ สั่งผลิตหน้ากากอนามัยและเจลล้างมือโดยเร็วที่สุด…เพื่อขวัญและกำลังใจของประชาชนในการที่จะจับมือกันต่อสู้ไวรัสมหาภัยอย่างเข้มแข็งต่อไป.

“ซูม”