คนรวยช่วยลดช่องว่าง ตัวอย่างจาก “คลองเตย”

เมื่อวานนี้ผมย้อนรอยถอยหลังนำข้อเสนอเมื่อหลายปีก่อนของผมมาปัดฝุ่นอีกครั้งว่า ในท่ามกลางสภาพปัญหา “ช่องว่าง” และความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยระหว่างคนรวยที่มีกลุ่มน้อยกับคนจนที่ยังเป็นกลุ่มใหญ่ของประเทศนั้น

จะรอให้รัฐบาลเป็นฝ่ายแก้แต่ฝ่ายเดียวเห็นทีจะไม่สำเร็จ เพราะรัฐพยายามมามากแล้ว แต่ช่องว่างก็ดูเหมือนจะถ่างขึ้นเรื่อยๆ

ผมจึงเสนอว่า คนรวยนั่นแหละที่ควรจะเกิดจิตสำนึกลงมาช่วยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำด้วยตนเองอีกแรงหนึ่ง

ยกตัวอย่างคนรวยที่ต่างประเทศที่ลงมาช่วยคนจนผ่านมูลนิธิต่างๆ รวมทั้งเอ่ยถึงคนรวยของประเทศเราที่ลงไปช่วยพัฒนาในหลายจังหวัด ดังเช่น บริษัทบุญรอดบริวเวอรี่ กับเชียงราย และคุณ บัณฑูร ล่ำซำ จากธนาคารกสิกรไทย กับโครงการ น่านแซนด์บ็อกซ์ เป็นต้น

พร้อมกับทิ้งท้ายว่าอ่านเจอข่าวผู้มีอันจะกินอีกรายหนึ่งที่มีโครงการที่จะช่วยเหลือคนยากคนจน ซึ่งเข้ากับโมเดล “คนรวยช่วยคนจน” แบบสมัครใจที่ผมอยากเห็น…ขออนุญาตนำมาเขียนถึงในวันนี้

บุคคลที่ผมบอกใบ้ไว้ว่า “รวย” แล้วก็ “สวย” ด้วย รายที่เป็นข่าวดังกล่าวก็คือคุณ นวลพรรณ ล่ำซำ หรือ “มาดามแป้ง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) นั่นเอง

คุณนวลพรรณแถลงข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเปิดตัวโครงการ “คลองเตยดีดี” ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทเมืองไทยประกันภัยร่วมกับ Harvard Graduate School of Design จากสหรัฐอเมริกา และศิษย์เก่าของสถาบันนี้ในเมืองไทยร่วมกันจัดตั้งขึ้น

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการสำรวจพื้นที่ชุมชนคลองเตย สำหรับการปูทางเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยและการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมเพื่อเป็นต้นแบบในการขยายสู่ชุมชนอื่นทั่วประเทศ

สถาบันจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งมีชื่อเสียงมากในระดับโลกด้านการออกแบบ พร้อมที่จะส่งศาสตราจารย์ระดับหัวหน้าภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม และทีมงานที่เชี่ยวชาญด้านออกแบบผังเมืองเข้ามาร่วมในการวิจัยความต้องการของชุมชนคลองเตยในเรื่องนี้

ค่าใช้จ่ายในการวิจัยและจัดทำข้อเสนอในโครงการนี้ซึ่งคงจะใช้เงินจำนวนพอสมควรนั้น บริษัทเมืองไทยประกันภัยจะเป็นผู้สนับสนุนหลัก

ส่วนเมื่อสำเร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่างว่าควรทำอย่างไร? ควรปรับปรุงในด้านไหน? ซึ่งอาจจะต้องใช้งบประมาณในการดำเนินการไม่มากก็น้อยนั้น คงต้องไปว่ากันต่อในอนาคต ว่าใครจะยื่นมือเข้ามาบ้าง

อาจจะเป็นรัฐบาล หรือ กทม. หรือการท่าเรือแห่งประเทศไทย หรือแม้แต่บริษัทของมาดามแป้งเอง ค่อยดูกันต่อไป

สำหรับผมนั้น ลำพังการมีความคิดที่จะลงไปช่วยทำวิจัย ไปติดต่อสถาบันที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาเป็นกำลังหลักในการวิจัย และเตรียมแผนพัฒนาชุมชนคลองเตย ผมก็ถือว่าเป็นการมีจิตสำนึกที่จะช่วย “ลดช่องว่าง” ตามแนวคิดที่ผมเสนอไว้

มาดามแป้งกล่าวตอนหนึ่งว่า ที่เลือกชุมชนคลองเตยก็เพราะเธอไปเป็นประธานทีมฟุตบอล สโมสรการท่าเรือ เอฟซี มา 4-5 ปี ไปทำบอลแล้วก็เกิดความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชาวชุมชนคลองเตย ซึ่งเป็นที่ตั้งของสนามและสโมสรฟุตบอลแห่งนี้

การมาทำฟุตบอลที่นี่มิได้มุ่งหวังกำไรทางธุรกิจ หรือหวังผลการแข่งขันเท่านั้น แต่เธอมองไปถึงความยั่งยืนของความสำเร็จ นั่นคือความเติบโตของสโมสรการท่าเรือ เอฟซี กับการพัฒนาของชุมชนคลองเตยควบคู่ไปด้วย

การยื่นมือเข้าไปทำหน้าที่ที่จะช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ เริ่มตั้งแต่การวางแผน หรือการออกแบบชุมชนที่ถูกต้องเหมาะสมของมาดามแป้ง ดังกล่าว จึงสมควรได้รับคำชมเชยและกำลังใจ

มาดามแป้งยืนยันกับนักข่าวกีฬาว่าเธอไม่สมัครเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลอย่างแน่นอน และให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวการเมืองว่าจะไม่สมัครเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. หรือลงการเมืองใดๆ ด้วย

คำคมที่เธอใช้ในการประชาสัมพันธ์บริษัทของเธอและเป็นคำที่แพร่หลายพอสมควร ได้แก่คำว่า “เชื่อแป้ง” ซึ่งท่านผู้อ่านคงจะเห็นตามแผ่นโปสเตอร์และป้ายโฆษณายักษ์หลายแห่ง

ผม “เชื่อมาดามแป้ง” ครับว่าเธอจะไม่เล่นการเมือง และจะทำอย่างที่เธอตั้งใจจะทำเพื่อชุมชนคลองเตยดังที่เป็นข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (หวังว่าผมคงไม่หน้าแตกนะครับที่เชื่อมาดาม)

“ซูม”