บันทึกแห่งความสุข ในวันที่ กรุงเทพมหานครเริ่มหนาว

แอปพลิเคชันพยากรณ์อากาศในมือถือของผมพยากรณ์เอาไว้ว่า วันนี้ (วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม) อุณหภูมิสูงสุดของ กทม. และปริมณฑล จะอยู่ที่ 28 องศาเซลเซียส และต่ำสุดจะอยู่ที่ 16 องศาเซลเซียส

นั่นหมายความว่า ช่วงดึกๆ หรือค่อนไปทางรุ่งเช้าของวันเสาร์ ซึ่งเป็นช่วงที่อุณหภูมิประจำวันมักจะลงไปสู่จุดต่ำสุดนั้น จะเป็นช่วงที่หนาวเย็นพอสมควรเลยทีเดียว

16 องศาเซลเซียสเนี่ยถือว่าเย็นมากแล้วนะครับ ถ้าออกไปนั่งรับลมที่สนามหน้าบ้านด้วยละก็อาจจะตัวสั่นนิดๆ ได้เลย

ผมภาวนาให้การพยากรณ์ถูกต้อง และจะรอคอยอุณหภูมิ 16 องศาเซลเซียส ที่จะเกิดขึ้นในกรุงเทพมหานครวันนี้อย่างมีความสุข

คงไม่ใช่แต่ผมคนเดียวหรอก ผมเชื่อว่าคน กทม.ส่วนใหญ่ก็คงจะคิดเหมือนผม เพราะปกติคนไทยเราชอบอากาศหนาวมากกว่าอากาศร้อน

หลายๆ ปีมานี้ กรุงเทพฯ ไม่ค่อยหนาวหรือหนาวอยู่แค่ไม่กี่วัน อุ่นซะแล้ว ทำให้คนกรุงเทพฯ ต้องหนีหนาวไปภาคเหนือบ้าง ภาคอีสานบ้าง เพื่อสัมผัสความหนาวของทั้ง 2 ภาคที่หนาวกว่าภาคอื่นๆ

โดยเฉพาะตามดอย ตามภูต่างๆ จะมีคนกรุงเทพฯและคนภาคกลางที่ชอบความหนาวแห่กันไปบ่มหนาวแน่นขนัดไปหมด

ปีนี้อากาศหนาวมาเยือนถึง กทม.โดยตรงเลย จะไม่ให้ผมและพี่น้องชาวเมืองหลวงมีความสุขเป็นพิเศษได้ยังไงล่ะ

ตั้งแต่วันจันทร์ที่ผ่านมา อากาศใน กทม.เราอยู่ที่ 21 องศาฯบ้าง 20 องศาฯ บ้างทุกวัน

แถมโชคดีฝุ่นพิษ PM 2.5 ช่วงนี้ก็ลดลง ทำให้สถานการณ์ด้านฝุ่นพิษอยู่ในขั้นปกติมาตลอดสัปดาห์ที่แล้ว ดูในแอปฯ กรมควบคุมมลพิษ มีแต่สีฟ้า (ดีมาก), สีเขียว (ดี) และสีเหลือง (พอใช้) ทั่วทั้ง กทม. ไม่มีสีส้ม (เริ่มมีอันตราย) มาแผ้วพานแม้แต่วันเดียว

แถวๆ คลองจั่น บางกะปิบ้านผมสีฟ้าทุกเช้า และอุณหภูมิก็อยู่ที่ 20-21 องศาฯ มาหลายเช้าแล้ว แถมยังพยากรณ์อีกว่าอาจจะต่ำไปถึงขั้น 16 องศาฯ อย่างที่ว่า

คงจะต้องตื่นมาสูดอากาศ ฟอกปอดตุนเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ละครับ เผื่อไว้เผชิญกับอากาศร้อนและฝุ่นพิษใน กทม. ที่คงจะกลับมาในอีกไม่นานนักข้างหน้า

อันเป็นผลของความเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลก ที่ทุกวันนี้ร้อนมากขึ้นและยาวนานขึ้นกว่าสมัยก่อน จากฝีมือของมนุษย์เรานี่แหละที่ทำลายความเขียวขจีของโลกอย่างไม่บันยะบันยัง

ท่านผู้อ่านคงทราบแล้วว่า ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคมเป็นต้นมา ไปจนถึงวันที่ 13 ธันวาคม เกือบ 2 สัปดาห์ มีการประชุมสหประชาชาติ ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 25 หรือ COP 25 ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน

มีผู้นำระดับบิ๊กของประเทศที่มีส่วนทำให้โลกร้อนมาประชุมกัน ทั้งหมด ยกเว้นพระเดชพระคุณ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่แห่งสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศนำสหรัฐฯ ถอนตัวจากพันธกิจในความตกลงปารีส 2015 ว่าด้วยเรื่องโลกร้อนไปเรียบร้อย

จากข้อมูลปัจจุบันพบว่า การปล่อยคาร์บอนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 3.3 เปอร์เซ็นต์ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว กลายเป็น 7 เปอร์เซ็นต์เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหมายความว่าเพิ่มขึ้นถึงกว่าเท่าตัวในช่วงเวลาแค่ 10 ปี

ยังนึกภาพไม่ออกเลยว่า ถ้าไม่ดูแลกันอย่างจริงๆ จังๆ อีก 10 ปี ข้างหน้า โลกเราจะเป็นอย่างไรบ้าง

แต่ก็มีสัญญาณที่ดีจากความเอาจริงเอาจังทั่วโลกกับความตื่นตัวที่จะลดภาวะโลกร้อน และการต่อสู้กับปัญหาสิ่งแวดล้อมหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่

ในการประชุมคราวนี้ แม่หนู เกรตา ธันเบิร์ก นักต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมโลก ชาวสวีเดน วัย 16 ปี ก็ไปร่วมด้วย และก็ไปแบบไม่สร้างคาร์บอนเลย โดยเดินทางด้วยเรือใบ แล้วไปต่อรถไฟหรือรถยนต์ไฟฟ้า ดังที่เธอปฏิบัติมา

จะมีปาฐกถาอะไรออกมาเขย่าผู้หลักผู้ใหญ่ที่ชอบสร้างคาร์บอน ทำให้โลกร้อนขึ้นอีกหรือไม่ คงต้องติดตามกันต่อไป

จากการที่โลกร้อนขึ้นทุกวันนี่แหละครับ ที่ผมภาวนาขอให้ถึงวันศุกร์นี้ไวๆ เพื่อจะเตรียมไปสูดอากาศอันหนาวเย็นที่ปราศจากฝุ่นพิษ ตุนเอาไว้อย่างที่ว่า

ท่านผู้อ่านชาวกรุงเทพฯ ก็อย่าปล่อยโอกาสให้ผ่านไปนะครับ นานๆ กรุงเทพฯ เราจะหนาวเย็นสมใจนึกแบบนี้ซะทีนึง.

“ซูม”