ซอกแซกสัปดาห์นี้ คงจะเป็นเรื่องอะไรอื่นไปเสียมิได้ละครับ นอกเสียจาก จะต้องเป็นเรื่องของการท่องเที่ยวพักผ่อน หย่อนใจในประเทศญี่ปุ่น ตามคิวของหัวหน้าทีมซอกแซก ที่ยังตะลอนอยู่ในแดนอาทิตย์อุทัย ณ นาทีนี้
หัวหน้าทีมซอกแซกไปถึงที่โน่นก่อนพายุ “ซุปเปอร์ไต้ฝุ่น” ฮากิบิส จะมาเยือน 1 สัปดาห์ พอดิบพอดี จึงมีโอกาสได้เที่ยวกับครอบครัวตุนเอาไว้หลายแห่งหลายที่
เรามาเริ่มกันที่ “เมืองฮาโกเน่” ไม่ใกล้ไม่ไกลจากภูเขาไฟ (ในอดีต) ฟูจิ เท่าไรนัก ซึ่งถ้าหากโชคดีไปที่นั่นเวลาฟ้าเปิด จะได้เห็น “ฟูจิซัง” อยู่ด้านหลังทะเลสาบ สวยสดงดงาม อย่าบอกใครเลยทีเดียว
สมัยก่อนเวลาไปญี่ปุ่นกับทัวร์ เขาก็มักจะจับขึ้นรถขับตะลอนจากโตเกียวผ่านไปทางพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หรือ “ไดบุตสุ” ออกไปเรื่อยๆ ถึงทะเลสาบฮาโกเน่ช่วงบ่ายๆ และเมื่อถึงแล้วก็จะให้ขึ้นกระเช้าลอยฟ้าแล่นข้ามเชิงเขาบริเวณนั้น ก่อนจะไปลงเรือ
จากนั้นก็จะพักโรงแรมแถวๆ นั้นหนึ่งคืน ชมทัศนียภาพรอบๆ ทะเลสาบก่อนพระอาทิตย์ตกดิน รุ่งขึ้นค่อยออกเดินทางไปที่อื่นต่อ
แต่ยุคหลังๆ นักท่องเที่ยวไทยมักนิยมที่จะเดินทางไปเยือนทะเลสาบฮาโกเน่ และนั่งกระเช้าลอยฟ้าแบบไปเช้า เย็นกลับ โดยรถบริการที่เรียกว่า “โรมานซ์ คาร์ ฮาโกเน่” ซึ่งจะมีรถไฟจาก ชินจูกุ ไปส่งที่สถานี ฮาโกเน่ ยูโมโตะ แล้วก็นั่งรถบัสท้องถิ่นไปถึงเมือง ฮาโกเน่ ใช้เวลาประมาณ 80 นาที
ดังนั้น เมื่อลอยเรือ นั่งกระเช้า รวมทั้งแวะดูพิพิธภัณฑ์อะไรต่างๆ แถวฮาโกเน่เสร็จสรรพก็ยังจะมีเวลาเหลือ สามารถเดินทางกลับในตอนหัวค่ำได้อย่างสบาย
ครอบครัวซอกแซกของเราจึงหันมาใช้วิธีนี้เช่นเดียวกัน และจองตั๋วทางอินเตอร์เน็ตไปจากเมืองไทยล่วงหน้า
เมื่อไปถึงที่โน่นแล้ว เราก็แวะไปสถานี ชินจูกุ ประมาณ 9 โมงเช้า (เพราะเราจองตั๋วรถไฟไว้เที่ยว 10 โมง) เพื่อไปตรวจสอบความถูกต้องของตั๋วที่เราจองจากเมืองไทยเสียก่อนว่าถูกต้องหรือไม่ประการใด
จากนั้นเราก็ออกเดินทางโดยรถไฟ “โรมานซ์ คาร์” ชื่อเซ็กซี่มาก มุ่งหน้าไปสู่สถานี ฮาโกเน่ ยูโมโตะ อันเป็นจุดหมายปลายทาง แล้วก็นั่งรถบัสท้องถิ่นเดินทางต่อไปสู่บริเวณทะเลสาบ
ตลอดเส้นทาง ชินจูกุถึงยูโมโตะ รถไฟจะผ่านเมืองเล็กๆ สวยงามน่ารักหลายเมือง และที่สถานีปลายทาง ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ เช่นกันก็สวยงามมาก มีสถานที่ให้ถ่ายรูปเช็กอิน หลายๆ ที่
บนรถไฟ โรมานซ์ คาร์ จะมีพนักงานเข็นอาหารกล่องและเครื่องดื่มมาขายด้วย ตามแบบฉบับของรถไฟทุกแห่งในโลก แต่ของที่นี่จะเป็นอาหารกล่องพิเศษสำหรับเด็ก ทำเป็นรูปหัวรถจักร สัญลักษณ์ โรมานซ์ คาร์ กินเสร็จแล้วเก็บกลับบ้านได้เลย
จากสถานีรถไฟ ฮาโกเน่ ยูโมโตะ เราขึ้นรถบัสต่อไปโกเต็มบะ เพื่อลอยเรือในทะเลสาบ อาชิอันโด่งดัง ตามเป้าหมายแรกของการเดินทาง
น่าเสียดายที่มีหมอกค่อนข้างเยอะ ทำให้มองไม่เห็นภูเขาฟูจิ แต่ความสวยงามของบริเวณรอบๆทะเลสาบ ตลอดจนลมเย็น ซึ่งแม้จะหนาวเล็กน้อย แต่ยังไม่มากนัก ทำให้การออกไปยืนที่หัวเรือ หรือท้ายเรือ มีคุณค่าอย่างยิ่ง เพราะได้สูดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด ตุนไว้ก่อนกลับมาสู้ PM2.5 ที่เราเพิ่งจะหนีมาจากประเทศไทย
หลังจากล่องเรือไป 2 ท่า เราก็ขึ้นกระเช้าไป 1 สถานี และขึ้นได้เพียงเท่านี้เอง เพราะเขาปิดซ่อมส่วนปลายๆ ไปเสีย ทำให้ไม่มีโอกาสนั่งข้ามบริเวณที่เป็นบ่อกำมะถัน ควันกรุ่นอยู่ข้างล่าง แล้วไปรับประทานไข่ต้มจากน้ำแร่ จนกลายเป็นสีดำ ที่จุดหมายปลายทาง
ก็ไม่เป็นไร นั่งแค่สถานีเดียวก็ถือว่าโอเคแล้วล่ะ สำหรับครอบครัวซอกแซก ซึ่งจากนั้นเราก็เดินดูโน่นดูนี่อีกนิดหน่อย ก่อนจะนั่งเรือกลับมาขึ้นรถ กลับสู่สถานีฮาโกเน่ ยูโมโตะ แล้วก็ขึ้นรถไฟเที่ยว 5 โมงเย็น กลับสู่ชินจูกุ ถึงตอนหัวค่ำได้เดินเที่ยวชินจูกุต่ออีกหลายชั่วโมง
จากการไปเช้าเย็นกลับได้นี่เองทำให้ “โรมานซ์ คาร์” ไปสู่ฮาโกเน่ เป็นที่นิยมอย่างมาก แม้แต่นักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเองก็นิยมใช้บริการ
“โรมานซ์ คาร์” เป็นชื่อของสายรถไฟ ซึ่งมีบริษัท โอดะคิว อีเล็คทริค เรลเวย์ เป็นเจ้าของ วิ่งไปรอบๆสถานที่ท่องเที่ยว ชานโตเกียว เปิดให้บริการมานานมากแล้ว ตั้งแต่ปี 1957 ด้วยซํ้าแต่มาท็อปฮิตในหมู่นักท่องเที่ยวไทยในช่วง 15-20 ปีนี่เอง
คำว่า “โรมานซ์ คาร์” มาจากโรมานซ์ ซีต หรือที่นั่งแบบไม่มีพนักกั้น คือให้นั่งติดกันได้แบบโล่งๆ เหมาะสำหรับหนุ่มๆ สาวๆ จึงได้สมญาว่า “โรมานซ์” ซึ่งแปลว่า ความรัก หรือน่ารัก นั่นเอง
รถไฟสายนี้มีอายุครบ 50 ปี และมีการเฉลิมฉลองเมื่อ ค.ศ.2007 และนับมาถึงวันนี้ ก็อายุถึง 62 ปีเข้าไปแล้ว
ที่นั่งคู่ของเขายุคนี้ความจริงก็ไม่ได้นุ่มอะไรมากนัก แต่ก็นั่งได้สบายๆ ที่สำคัญเขามักเชิญชวนให้ไปนั่งขบวนท้ายสุด ซึ่งจะมองเห็นวิวข้างหลัง สวยมาก หรือไม่ก็ไปนั่งขบวนหน้าสุด โดยเฉพาะแถวหน้า ซึ่งจะมองเห็นวิวข้างหน้าสวยงามเช่นกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น อาจจะต้องเสียค่าใช้จ่ายแพงกว่าราคาปกติอีกนิดหน่อย
อีกสถานที่ยอดนิยมที่รถไฟโรมานซ์ คาร์ ให้บริการทุกวัน เคียงคู่ไปกับฮาโกเน่ ก็คือสาย อิโนชิมะ ซึ่งจะอยู่ชายฝั่งทะเล และจะผ่านพระพุทธรูปองค์ใหญ่ “ไดบุตสุ” ด้วย
คณะของเราเตรียมคิวไว้จะไปท่องเที่ยวที่อื่นๆ เอาไว้แล้ว ก็เลยไม่ได้ไปสายที่สองของโรมานซ์ คาร์ ที่ว่า
ส่วนจะไปที่ไหนกันบ้างเอาไว้เฉลยสัปดาห์หน้าก็แล้วกันนะครับ.
“ซูม”