เมื่อวานนี้ผมจบท่อนท้ายระหว่างนั่งรอลุ้นว่าพายุไต้ฝุ่น “ฮากิบิส” ที่คนญี่ปุ่นกลัวที่สุดและคาดว่าจะใหญ่ที่สุดในรอบหลายๆ ปีมานี้จะแสดงอิทธิฤทธิ์ถล่มกรุงโตเกียวอย่างไรบ้าง
เพราะต้องรีบปิดต้นฉบับส่งอีเมลไปโรงพิมพ์ก่อนค่ำวันเสาร์ตามเวลาบ้านเรา ซึ่งซุปเปอร์ไต้ฝุ่นลูกนี้ยังเดินทางมาไม่ถึง
ปรากฏว่าหลังจากส่งต้นฉบับเรียบร้อยยังต้องรออีกหลายชั่วโมง เพราะคุณพี่ “ฮากิบิส” ค่อนข้างเดินทางช้าลง กว่าจะถึงโตเกียวประมาณ 3 ทุ่มตามเวลาที่โน่น ซึ่งช้าไปกว่าพยากรณ์เกือบ 2 ชั่วโมง
ผมนั่งรออยู่ที่หน้าต่างกระจก (ดูแล้วแข็งแรงมาก) เปิดม่านจ้องไปที่ท้องถนนหน้าบ้าน มองเห็นสายฝนซึ่งโปรยมาตลอดทั้งวัน ดูหนาและหนักมากขึ้น พร้อมๆ กับต้นไม้ที่โอนเอนมากกว่าตอนหัวค่ำเล็กน้อย
นานๆ จะมีรถยนต์ผ่านมาสักคัน และมีจักรยานยนต์มาด้วยหนึ่งคัน ช่างกล้าหาญชาญชัยไม่กลัวซุปเปอร์ไต้ฝุ่นกันเสียเลย ทั้งๆ ที่กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่นประกาศออกมาแล้วว่าคุณพี่ฮากิบิสมาถึงแล้ว
ผมยกมือพนมไหว้พระตั้งจิตอธิษฐานมาหลายครั้งขอให้ท่านแผ่บารมีมาช่วยปกป้องคุ้มครองผมและครอบครัวตลอดจนคนญี่ปุ่นที่กำลังเผชิญพายุลูกนี้ พอรู้ว่าพายุมาถึงก็พนมมืออีกครั้งหนึ่ง
ประกอบกับแรงภาวนาของผู้คนจากทั่วโลกและจากพี่น้องชาวไทย กว่าครึ่งค่อนประเทศเท่าที่ผมอ่านจากเว็บไซต์ข่าวและโซเชียลต่างๆ
ทำให้ซุปเปอร์ไต้ฝุ่นเขย่าโตเกียวเพียงเบาะๆ ไม่ถึงกับรุนแรงอะไรมากนักอย่างที่วิตกกันมาโดยตลอด
ที่สำคัญผมจับเวลาดูพบว่าเพียงแค่ 45 นาทีเท่านั้นพายุไต้ฝุ่นฮากิบิสก็โบกมือลาโตเกียว ซึ่งมองจากหน้าต่างบ้านพักผมแทบไม่เห็นความน่ากลัวอะไรเลย
หลายๆ ครั้งเวลาผมนั่งรถไปตามท้องถนนในกรุงเทพฯ บ้านเรา แล้วเกิดภาวะฝนถล่มหนัก ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่ายังดูน่ากลัวกว่าเสียอีก
แต่ก็อย่างที่ท่านผู้อ่านคงจะทราบข่าวกันแล้วว่า รอบๆ โตเกียว และอีกหลายเมืองบนเส้นทางผ่านของพายุลูกนี้ค่อนข้างเสียหายหนักพอสมควร และกำลังอยู่ในระหว่างประเมินกันอยู่
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานในภาพรวมเบื้องต้นว่ามีผู้เสียชีวิต 5 ราย สูญหาย 15 ราย บ้านเรือน 376,000 หลังไม่มีไฟฟ้าใช้ และ 14,000 ครัวเรือนไม่มีประปาใช้
ส่วนตัวโตเกียวเองนั้นไม่น่าจะเสียหายอะไรมาก เพราะวันอาทิตย์รุ่งขึ้นผมไปส่งลูกๆ ซึ่งมีกำหนดกลับก่อนและโดนเลื่อนการเดินทางมาหนึ่งวันที่สนามบินนาริตะ ก็ไม่พบร่องรอยความเสียหายอะไรเลย
รถตู้ที่ผมเหมาไปสนามบินวิ่งผ่านไปหลายๆ จุด รวมทั้งข้ามสะพาน “เรนโบว์” หรือสะพาน “สายรุ้ง” เหนืออ่าวโตเกียวก็ยังมองเห็นความงดงามของบริเวณรอบๆ ที่ยังเหมือนเดิมทุกกระเบียดนิ้ว
“เทพีเสรีภาพ” แห่งที่สองที่รัฐบาลฝรั่งเศสส่งมาให้รัฐบาลญี่ปุ่นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันยาวนานของสองประเทศเมื่อปี ค.ศ.2000 ก็ยังยืนโดดเด่นเป็นสง่าเห็นอยู่ลิบๆ
พอเข้าเส้นทางที่จะไปสนามบินซึ่งต้องผ่านป่าสนไปตลอด ก็จะเห็นความเขียวขจีตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง
สนามบินนาริตะเปิดให้บริการตั้งแต่เช้า เมื่อโผล่เข้าไปถึงบริเวณเช็กอินจะเห็นผู้คนมาเข้าคิวรอเตรียมตัวเดินทางอย่างคึกคัก
ทุกอย่างเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เมื่อวาน เท่าที่ผมเห็นในรายงานทางโทรทัศน์ NHK นั้นยังมีผู้โดยสารติดค้าง นอนในถุงนอนที่สนามบินจัดมาให้ระเกะระกะ
แต่วันนี้เรียบวุธหมด เห็นแค่เพียงถุงนอนที่เขาพับอย่างเป็นระเบียบกองเรียงอยู่ข้างๆ
ในส่วนของการแข่งขันรักบี้โลก คณะกรรมการจัดการแข่งขัน ประกาศแข่งต่อแล้ว โดยเฉพาะคู่ ญี่ปุ่น กับ สกอตแลนด์ ที่จะชี้ขาดว่าใครจะเข้าสู่รอบ 8 ทีม
รถยนต์สูตร 1 หรือ Formula 1 ก็กลับมาแข่งขันตามเดิมเช่นกัน
ญี่ปุ่นทั้งประเทศ (หรืออย่างน้อยในย่านโตเกียวที่ผมเห็น) กลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ 11 ชั่วโมงเท่านั้น
ซุปเปอร์ไต้ฝุ่นฮากิบิสอำลาโตเกียวตอน 4 ทุ่มเศษ พอ 9 โมงเช้า ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม เหมือนกับว่าไม่เคยมีไต้ฝุ่นที่น่ากลัวนักหนาลูกนี้ผ่านเข้ามาในบริเวณเมืองหลวงของประเทศญี่ปุ่นเลย.
“ซูม”