ศึก “แถลงนโยบาย” จบได้อย่างนี้ก็ดีแล้ว

ในที่สุดการแถลงนโยบายของรัฐบาลลุงตู่ 2 กับการอภิปรายอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ของพรรคฝ่ายค้านก็ยุติลงเมื่อเวลา 03.33 น. ของเช้าตรู่วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม 2562

พูดตามภาษาชาวบ้านก็คือ ตี 3 กับ 33 นาที เป๊ะ…ท่านประธาน รัฐสภา ชวน หลีกภัย จึงได้กล่าวขอบคุณทุกๆ ฝ่ายและกล่าวปิดสภา

สำนักข่าวบางสำนักรายงานว่าใช้เวลาประชุมนานกว่า 34 ชั่วโมง ตั้งแต่วันพฤหัสบดีมาถึงวันศุกร์และทะลุเข้าวันเสาร์เล็กน้อยดังกล่าว

เนื่องจากเป็นการอภิปรายเฉยๆ ไม่มีการลงมติ จึงไม่มีผลออกมาชัดเจนว่าฝ่ายไหนแพ้ ฝ่ายไหนชนะอย่างเป็นทางการ

สำหรับผลการให้คะแนนของคนดูคนฟังนั้น ก็ขึ้นกับว่าใครมีความเสน่หาหรือผูกพัน หรือเชียร์ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมากน้อยเพียงใด เพราะสามารถที่จะตีความว่าฝ่ายตนได้ชัยชนะด้วยกันทั้งคู่

กองเชียร์บิ๊กตู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่ชอบฝ่ายค้านด้วยสารพัดสาเหตุเป็นทุนอยู่แล้ว ก็บอกว่าบิ๊กตู่สอบผ่านตอบได้ทุกประเด็น สวนได้ทุกเม็ดแบบทันฟืนทันไฟไม่มีตกหล่น

พูดรัวพูดเร็วไปบ้าง ก็บอกว่าสไตล์ของท่านเป็นอย่างนั้น

มีอาการนอตหลุดที่สมัยนี้เรียกว่า “ปรี๊ดแตก” ถึงขนาดตัดพี่ตัดน้องกับท่าน เสรีพิศุทธ์ ฝ่ายเชียร์บิ๊กตู่ก็บอกว่าเห็นใจเพราะท่านเสรีพิศุทธิ์ท่านก็แรงเหลือเกิน ฯลฯ

รวมความแล้ว ฝ่ายที่เอนเอียงมาทางบิ๊กตู่ ตีความให้ท่านเป็นฝ่ายชนะขาดลอย

แต่ฝ่ายไม่ชอบบิ๊กตู่และชอบฝ่ายค้านก็บอกว่า ท่านนายกฯ ยังคงเจ้ายศเจ้าอย่าง ยังหลงยังยึดติดกับอำนาจ พูดจาข่มขู่ชอบชี้หน้าคนอื่นเหมือนเห็นคนอื่นๆ ทั้งสภาเป็นลูกน้อง

เป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ไม่รู้จักควบคุมอารมณ์โดนจี้จุดคี้มึ้งเข้าหน่อยปรี๊ดแตกเลยเสียแรงเป็นผู้ใหญ่ซะเปล่าๆ

พูดเยอะไป พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง นอกจากรัวแล้วยังชอบทำเสียงดังเหมือนข่มขู่ฝ่ายค้าน
เวลาตลกก็ไม่จริงใจ ดูแล้วเหมือนแกล้งตลก ฯลฯ

แน่นอนการให้คะแนนของฝ่ายนี้ บิ๊กตู่คงแพ้ทุกยก 9-10 บ้าง 8-10 บ้าง ถ้าเป็นการชกมวย

ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้เขียนขึ้นมาเอง แต่เก็บตกมาจากข้อคิดเห็นที่เขาโพสต์ตามโซเชียลหรือตามเว็บข่าวต่างๆ ที่เขาเปิดให้คนอ่านแสดงความคิดเห็นเข้าไปได้

สำหรับความเห็นของผมเองไม่ได้มองว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะ แต่มองว่าถ้าคนรับผิดชอบต่อบ้านเมืองทั้งรัฐบาลทั้งรัฐสภายังเป็นอย่างนี้… บ้านเมืองของเราจะไปรอดไหมหนอ?

เพราะเห็นได้ชัดเจนถึงการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชนิดสุดขั้ว ไม่ยอมรับความคิดซึ่งกันและกันเอาเสียเลย

คำพูดคำจาของทั้ง 2 ฝ่ายเห็นชัดเจนเช่นกันว่าแฝงไว้ด้วยความ “เคียดแค้น” ต้องเชือด ต้องกรีด ต้องสับ ต้องดุ ต้องเย้ยหยัน ฯลฯ

ผมว่าดุกว่าทุกสมัยที่ผมเคยดูเคยเห็นมานะครับคราวนี้

แต่มาคิดอีกทีโลกเราทุกวันนี้อะไรๆ มักจะผ่านไปเร็ว และมีเรื่องมากมายหลากหลายไหลเข้ามาเรื่อยๆ ความสุขความทุกข์จึงผ่านไปเร็ว จนแทบไม่มีเวลาดื่มด่ำกับความสุข หรือจะจมปลักเสียใจอยู่กับความทุกข์ เพราะแผล็บเดียวเท่านั้น สุขใหม่ ทุกข์ใหม่ก็จะมาซะอีกแล้ว

เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ดุๆในสภา การโต้อย่างดุเดือดเลือดพล่าน มีเหตุผลบ้าง ไร้เหตุผลบ้าง เหมือนเด็กๆ บ้าง ที่เกิดขึ้นตลอด 34 ชั่วโมงที่ผ่านมาประเดี๋ยวก็คงจะผ่านไป

เมื่อจบลงด้วยการที่บิ๊กตู่บอกว่าขอบคุณทุกๆฝ่ายนะครับ ผมจะน้อมนำคำอภิปรายไปปฏิบัตินะครับ ก็ถือว่าเป็นการจบที่ผมว่าโอเคซิการ์แร็ตแล้วครับ

ถ้าจบแบบมีการวางมวย หรือยังยืดเยื้อออกมานอกสภานอกเวทีถึงรุ่งอีกวัน ยังไม่หยุดปะทะคารมอย่างนั้นค่อยน่าห่วง

ถ้าจบอย่างที่จบไปเมื่อวันวาน ผมก็ว่าคงไม่มีอะไรแล้วละ ต่างคนต่างกลับไปทำหน้าที่ของตน รัฐบาลก็ไปทำงานฝ่ายค้านก็คอยดูแลคอยตรวจสอบ งานของชาติก็จะเดินไปได้เอง

เชื่อเถอะ พรุ่งนี้มะรืนนี้ก็มีเรื่องใหม่มาให้พูดถึงอีกจนได้แหละ …ในขณะที่เรื่องบิ๊กตู่ปรี๊ดแตก ตัดพี่ตัดน้องอีกแป๊บเดียวคนก็ลืม.

“ซูม”