เป็นห่วงพิษ “ภัยแล้ง” ซ้ำเติมเศรษฐกิจปลายปี

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาหนังสือพิมพ์ทุกฉบับรายงานข่าวตรงกันว่าภาวะฝนแล้งและฝนทิ้งช่วงเกิดขึ้นในหลายๆ จังหวัดนำความเดือดร้อนมาสู่เกษตรกรชาวนา ชาวไร่เป็นอย่างยิ่ง

เพราะท้องนาแห้งผาก เนื่องจากฝนทิ้งช่วงไปกว่า 2 เดือน ทำให้ต้นข้าวที่ปลูกไว้แห้งตายไปตามๆ กัน ดังเช่น ขณะที่ผมนั่งเขียนต้นฉบับวันนี้ไทยรัฐก็ลงข่าวว่า ชาวนาจังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดพิจิตรกว่า 150 คน รวมตัวกันไปที่ประตูรับส่งน้ำชลประทานที่อยู่ใกล้ที่สุด

ขอให้เปิดประตูน้ำส่งน้ำมาช่วยเหลือด่วน เพราะต้นข้าวในบริเวณดังกล่าวกว่า 1 แสนไร่ ใกล้จะตายซากหมดแล้ว

นอกจากความเดือดร้อนใน 2 จังหวัดของภาคเหนือตอนล่างที่ว่านี้แล้วก็ยังมีรายงานความเดือดร้อนจากภาคเหนือตอนบนอีกหลายจังหวัด ข้ามไปจนถึงอีสานและลงมาในบางจังหวัดของภาคกลางฯลฯ

ผมอ่านข่าวทั้งหมดนี้แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจ จนถึงขั้นต้องหยุดอ่านแล้วก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ๆ ออกมาหลายครั้ง

เพราะตระหนักดีว่าผลกระทบจากภาวะฝนแล้งนั้นจะนำความเดือดร้อนทั้งโดยตรงโดยอ้อมมาสู่พี่น้องเกษตรกร ชาวนา ชาวไร่ และประชาชนที่อยู่อาศัยในเขตเมืองที่จำเป็นจะต้องใช้น้ำเพื่อการอุปโภคและบริโภคไม่น้อยในแต่ละวัน

ที่น่าห่วงที่สุดก็คือเกษตรกรนั่นแหละครับ เพราะเมื่อฝนฟ้าไม่ตกตามฤดูกาลน้ำท่าไม่พอเพียงที่จะทำนา ทำไร่ ก็จะต้องสูญเสียรายได้ที่สมควรจะได้รับจากการประกอบอาชีพในทันที

ที่สำคัญรายได้ของเกษตรกร ตลอดจนผลผลิตของเกษตรในแต่ละปี ถือเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ประชาชาติ หรือจีดีพีที่ใช้ในการวัดภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศ

หากผลผลิตด้านเกษตรดี และยังได้ราคาที่ดีพอสมควร ก็จะมีส่วนอย่างมากที่จะทำให้รายได้รวมของประเทศชาติเพิ่มขึ้น

ในทางตรงข้ามหากผลผลิตเกษตรลดลง รวมทั้งราคาก็ลดลงด้วย ก็จะทำให้รายได้รวมของประเทศลดลงด้วยเช่นกัน

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เศรษฐกิจโลกกำลังอยู่ในภาวะหดตัว อันสืบเนื่องมาจากการทำสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ

ประเทศไทยของเราได้รับผลกระทบหลายด้าน โดยเฉพาะการส่งออกที่ลดลงอย่างมาก นักท่องเที่ยวก็มาเที่ยวบ้านเราลดน้อยลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนลดอย่างเห็นได้ชัด

นักเศรษฐศาสตร์เกือบทุกสำนัก ต่างออกมาคาดการณ์แล้วว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่าทั้งปี ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวแค่ 3.2 เปอร์เซ็นต์ ธนาคารแห่งประเทศไทย และ สภาพัฒน์ มองว่าอยู่ที่ 3.3 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่าที่เคยคาดไว้ต้นปีว่าจะสูงประมาณ 3.8-3.9% ค่อนข้างเยอะ

ผมเข้าใจว่าการประมาณการดังกล่าวนี้ คงจะยังไม่ได้รวมสถานการณ์ภัยแล้งเอาไว้…หากรวมเข้าไปด้วย และหากสถานการณ์ภัยแล้งของเรายืดเยื้อยาวนานขึ้นมาละก็ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะลดลงไปอีกพอสมควร

แต่ก็มีนักวิชาการด้านนํ้าบางท่านบอกว่า อย่าเพิ่งวิตกเกินไป ระยะหลังๆ มักมีฝนทิ้งช่วงเกิดขึ้นเสมอๆ ก็จริงๆ แต่ระยะการทิ้งช่วงจะไม่นานนัก และจะมีฝนตามมาชดเชยในช่วงต่อมา

เพราะฉะนั้นปีนี้อาจจะเป็นเช่นนี้อีกก็ได้ คืออาจจะทิ้งช่วงเฉพาะช่วงนี้ แต่จะกลับมาตกอย่างพอเพียงในอีกไม่นานนัก

ผมได้ยินท่านมาพูดทางวิทยุแล้วก็ใจชื้นขึ้นมาแยะ ภาวนาขอให้ข้อสังเกตของท่านเป็นจริงเถอะ คือขอให้มีฝนมาตกอย่างพอเพียงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าพี่น้องเกษตรกรจะได้ทำนา ทำไร่ มีรายได้เหมือนเดิม

อย่างที่นักเศรษฐศาสตร์เขาวิเคราะห์แหละครับว่า ปีนี้เศรษฐกิจไทยเราน่ะเหนื่อยอยู่แล้ว ถ้าเศรษฐกิจฐานรากทรุดลงไปละก็ จะยิ่งเหนื่อยอีกหลายเท่า

นึกแล้วก็เห็นใจบิ๊กตู่กับทีมเศรษฐกิจของท่านที่ต้องเจอ “ปัญหา” ซ้ำซ้อนอยู่เรื่อยๆ–อย่าหาว่าผมงมงายเลยนะครับ ถ้าจะเสนออะไรบางอย่างแบบที่คนไทยสมัยก่อนเขาปฏิบัติกัน เผื่อปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นบ้าง

น่าจะหาโอกาสไป “แห่นางแมว” หรือไปทำ “พิธีขอฝน” บ้างนะครับ ท่าน ดร.สมคิด เผื่อจะโชคดีมีฝนตกลงมาช่วยทำให้ท่านและทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเหนื่อยน้อยลง!

“ซูม”