ภาพชัดหลังเลือกตั้ง ยัง “2 นครา” เหมือนเดิม

ถึงแม้ว่าผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจะยังไม่เกิดขึ้น จนกว่าจะถึงวันที่ 9 พฤษภาคม อย่างที่ กกต.ท่านแจ้งไว้ว่า ท่านจะประกาศผลในวันนั้น

และใครก็ตามที่เอาตัวเลขในขณะนี้ไปจัดตั้งรัฐบาลจึงเท่ากับเป็นการจัดตั้งเพื่อหวังผลทางจิตวิทยาเท่านั้น อย่างที่ท่านรองนายก ดร.วิษณุ เครืองาม ท่านให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อวันก่อนไม่ได้มีผลในด้านความเป็นจริงเป็นจังแต่อย่างใด

เพราะยังมีเวลาอีกยาวนานยังมีอีกหลายขั้นตอน ทั้งในเรื่องใบแดง ใบเหลือง ตัวเลข ส.ส.คงจะยังไม่นิ่งง่ายๆนัก

แต่อย่างไรก็ตามตัวเลขที่ออกมาครั้งนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งของสังคมไทยในด้านความคิด ความเชื่อ และอุดมการณ์ทางการเมืองว่ายังคงแบ่งเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายอยู่เหมือนเดิม

ด้วยจำนวนที่ใกล้เคียง หรือก้ำกึ่งกันเหมือนเดิม

ถ้าจะเปรียบเทียบเป็น “2 นครา” อย่างที่นิยมเรียกกันในการเมืองก็ต้องบอกว่า ทั้ง 2 นครานี้มีประชากรที่ใกล้เคียงกันอย่างยิ่ง

ถ้าจะใช้ พรรคพลังประชารัฐ เป็นตัวแถมของนคราที่ 1 ก็จะเห็นได้ว่านครานี้มีประชากรอยู่ 7,939,937 คน (จากคะแนนเลือกทั้งหมดที่ประชาชนไปโหวตให้)

ในขณะที่ พรรคเพื่อไทย ตัวแทนนคราที่ 2 ก็มีประชากรอยู่ที่ 7,423,361 คน น้อยกว่ากันเพียง 5 แสนคนเศษเท่านั้น

ผมไม่มีเวลาพอที่จะไปร่วมตัวเลขว่านคราเล็กๆ อื่นๆ เมื่อแยกข้างไปร่วมกับ 2 นคราใหญ่แล้ว จำนวนประชากร (หรือเสียงประชาชนโหวตให้) จะออกมาแบบใครมากใครน้อยกว่ากัน

ผมค่อนข้างเชื่อว่าไม่ว่าใครมากหรือน้อยกว่ากันก็จะเป็นจำนวนที่แตกต่างไม่มากนัก หากจัดทัพรบกันก็จะเป็นกองทัพที่มีกำลังพลใกล้เคียงกันเหลือเกิน

ยกรบหรือยกพลเข้าสู้กันเมื่อไร คงสู้กันอย่างยืดเยื้อกว่าจะรู้แพ้รู้ชนะ และจะนำความเสียหายมาสู่ประเทศไทยอันเป็น “นครารวม” ของทั้ง 2 นครานี้ อย่างประเมินค่ามิได้

ว่าไปแล้วขณะนี้ทั้ง 2 นคราก็กำลังทำสงครามช่วงชิงอำนาจกันอยู่ เพื่อที่จะเข้าปกครองนครารวมคือไทยแลนด์ ด้วยการอ้างตัวเลขอ้างชัยชนะที่ทั้ง 2 ฝ่าย คาดว่าจะได้รับ

แต่ก็เป็นสงครามแบบสันติ คือสู้กันตามกฎกติกาที่เขียนไว้ ในรัฐธรรมนูญ โดยต่างฝ่ายต่างตีความให้เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายตน แล้วนำมาอ้างสิทธิในการตั้งรัฐบาล ซึ่งก็ถือว่าเป็นการต่อสู้ที่ชอบธรรมและไม่มีอะไรเสียหายในทรรศนะของผม

หากทั้ง 2 ฝ่าย หรือ 2 นคราใช้วิธีนี้ต่อไปคือสู้กันอย่างสันติ สู้ตาม กฎกติกาในรัฐธรรมนูญ โดยไม่ออกมาใช้วิธีก่อความวุ่นวาย หรือต่อสู้ในท้องถนนอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และเมื่อสู้จบแล้วใครแพ้ใครชนะก็จบกันไปนคราใหญ่หรือนครารวมก็คงจะไม่เสียหาย และเดินหน้าไปได้

ที่ผมเป็นห่วงว่าการต่อสู้อาจจะเกินเลยกฎกติกาไปสู่ความวุ่นวายขึ้นมาได้นั้นก็เพราะในระหว่างที่สู้กันตามกติกาอยู่นี้ ได้มีการใช้คำพูดที่เสียดแทงใจด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย

คำพูดที่สร้างความเกลียดชังโกรธเกรี้ยวดูหมิ่นดูแคลนที่จะทำให้ทั้ง 2 ฝ่ายเกิดความคิดความแค้นฝังลึกในจิตใจของกันและกัน สะสมขึ้นเรื่อยๆ ก็ว่าได้แทบทุกวันก็ว่าได้

ผมอ่านข่าวหน้าหนึ่งวันนี้แล้วก็นึกถึงข้อเขียนของคุณ “กิเลน ประลองเชิง” เพื่อนผมที่เขียนไว้ในหน้า 3 เมื่อวานนี้ ตะโกนเรียกหา “ความรัก” ให้แก่สังคมไทย

ยกตัวอย่างทั้งนิทานโบราณและเพลงลูกทุ่งมาบรรยายว่าความรักเป็นเรื่องที่ดีงามอย่างไร ที่ใดมีความรักที่นั่นจะมีทั้งความมั่งคั่งและความสำเร็จอย่างไรบ้าง

ผมขอยกมือสนับสนุนคุณกิเลนครับ อยากให้ผู้นำของ 2 นครา และประชากรของทั้ง 2 นคราอันมากมายมหาศาลในขณะนี้คำนึงถึง “ความรัก” ให้มากที่สุด

เราโกรธกันมามากแล้ว เกลียดกันก็มาก…มากเสียจนแบ่งเป็น 2 ฝ่าย 2 นคราอยู่ในขณะนี้ ซึ่งไม่ว่าคุณจะเรียกนคราอะไรก็ตาม…แต่ที่มาและรากเหง้าก็ยังคงไม่พ้นสีแดง สีเหลืองอยู่นั่นแหละ

เมื่อไรจะรวมกันเป็นนคราเดียว “ไทยแลนด์ 100 เปอร์เซ็นต์” (รวม 2 สีเป็นไตรรงค์ 3 สี แดง ขาว น้ำเงิน) ได้ซะทีก็ไม่รู้?

“ซูม”