เดินหน้าสู่ประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” ย่อมดีกว่า “ศูนย์”

เป็นอันว่าประเทศไทยของเรากำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งอย่างค่อนข้างแน่นอนแล้ว หลังจากที่หัวหน้า คสช. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลงนามในคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 22/2561 ปลดล็อกให้เริ่มต้นหาเสียงและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ทางการเมืองได้นับตั้งแต่วันประกาศคำสั่งนี้ในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ซึ่งพรรคการเมืองต่างๆ ก็ขานรับกันทันที เตรียมขึ้นป้าย เตรียมจัดเวที และเตรียมดำเนินการต่างๆ ที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งอย่างคึกคัก

จากกำหนดการที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ได้จัดทำเป็นปฏิทินไทม์ไลน์เอาไว้แล้วนั้น ยังคงเป็นวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562

แปลว่าหลังจากเราฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ไปได้ระยะหนึ่ง พร้อมทั้งฉลองตรุษจีน (5 ก.พ.2562) และวาเลนไทน์ (14 ก.พ.2562) อีกเพียงไม่กี่วัน คนไทยก็จะได้ออกเสียงเลือกตั้งกันอีกหน

ในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่เลื่อมใสและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้วว่าเป็นระบอบการปกครองที่ดีที่สุด

ผมขอถือโอกาสนี้แสดงความยินดีทั้งกับตัวเองและพี่น้องชาวไทยทั่วประเทศที่เราจะได้ระบอบประชาธิปไตยกลับคืนมาอีกครั้ง

แม้จะเป็นเพียงประชาธิปไตย “ครึ่งใบ” ก็ย่อมจะดีกว่าการเป็น “เผด็จการ” เต็มใบอย่างแน่นอน

ได้แค่ไหนก็คว้าเอาไว้ก่อน แล้วก็พยายามใช้สิ่งที่เราได้มานั้นให้ดีที่สุด…สักวันหนึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริงจะกลับคืนมาเอง

อย่าลืมว่าสาเหตุที่เราต้องสูญเสียประชาธิปไตยไปเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 หรือเมื่อเกือบ 5 ปีที่แล้วนั้น ก็เพราะเราใช้ประชาธิปไตย ซึ่งตอนนั้นจะเรียกว่า “เต็มใบ” ก็ได้อย่างไม่บันยะบันยัง

นำมาซึ่งความอลเวงความวุ่นวายแบบไม่มีใครยอมใครจนอาจจะบานปลาย ทำให้ประเทศชาติเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้

เป็นเหตุให้ฝ่ายที่เขามีกำลังมีอาวุธต้องเข้ามาปฏิวัติรัฐประหารที่เขาเรียกว่ามารักษาความสงบแห่งชาติ กลายเป็น “คสช.” มาจนถึงทุกวันนี้

ดังนั้น เมื่อเราได้คืนมาเพียงครึ่งใบก่อนก็คงต้องทำใจยอมรับเอาไว้ และพยายามใช้ประชาธิปไตยครึ่งใบที่ว่านี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เพื่อรอวันที่เราจะกลับมาเป็นประชาธิปไตยเต็มใบกันอีกครั้ง ซึ่งผมเชื่อว่าคงจะไม่นานนัก เพราะไม่มีใครที่ไหนที่จะต้านกระแสประชาธิปไตยของโลกได้

ที่ผมเป็นห่วงอยู่มากก็ตรงที่ว่า แม้แต่ครึ่งใบเราก็ยังจะใช้กันอย่างผิดๆ ถูกๆ หรือเอาแต่ใจตนเองกันเหมือนเดิม

เพราะกว่าค่อนของผู้ที่จะมาเสนอตัวรับใช้เราในนามของพรรคการเมือง และสมาชิกพรรคการเมือง ที่จะลงสมัคร ส.ส.ทั้งหลายล้วนเป็นคนหน้าเดิมแทบทั้งสิ้น

อิทธิฤทธิ์อิทธิเดช หรือ “สรรพคุณ” ต่างๆ เป็นอย่างไรก็รู้ๆ กันอยู่

มีคนหน้าใหม่ๆ เข้ามาน้อยมาก แม้แต่พรรคใหม่ที่จะเป็นพรรคใหญ่พรรคหนึ่งก็มีคนหน้าใหม่เพียงส่วนเดียว นอกนั้นก็ได้เที่ยวดูดคนหน้าเก่าๆ เข้ามาร่วมเสียเป็นส่วนมาก

ผมก็หวั่นใจว่าในที่สุดก็จะเข้าอีหรอบเดิม

มองไปข้างหน้าแล้วแทบจะกล่าวได้ว่าความดีใจที่ได้ประชาธิปไตยกลับคืนมาครึ่งใบแทบไม่เหลือเลย

แต่ก็เอาเถอะ พระท่านสอนว่าอะไรยังไม่เกิดก็อย่าเพิ่งไปวิตกไปกังวลมากนัก ขอให้เราตั้งสติให้ดีๆ มองโลกให้ดีๆ นึกถึงเฉพาะปัจจุบัน รอให้มันเกิดเสียก่อนค่อยหาทางแก้ไขกันอีกที

ผมก็ขอนำคำสอนของพระมาฝากท่านผู้อ่านที่อาจจะกำลังวิตกกังวลเหมือนผมว่า “เสือ สิงห์ กระทิง แรด” มาอีกแล้ว เลือกตั้งไปก็เท่านั้น

เอาน่า ระยะทางพิสูจน์ม้า ฉันใด กาลเวลา ก็อาจพิสูจน์ “เสือสิงห์ กระทิง แรด” ได้บ้างฉันนั้น…

ตั้งความหวังในแง่ดีเอาไว้ก่อนว่าพี่เสือ พี่สิงห์ พี่กระทิง และพี่แรดทั้งหลายคงจะดีขึ้นบ้างละน่าจากระยะเวลาเกือบ 5 ปี ที่เราอยู่ในระบอบประชาธิปไตย “ศูนย์ใบ”

ที่สำคัญการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีคนไทยรุ่นใหม่เจนใหม่มาใช้สิทธิใช้เสียงด้วยเป็นครั้งแรกจำนวนมาก…ไม่แน่นะครับ น้องๆ รุ่นใหม่เหล่านี้ อาจจะแสดงพลังที่มองไม่เห็นออกมาถึงขั้นที่จะทำให้เกิดสิ่งดีๆ ใหม่ๆ แก่ประเทศชาติขึ้นบ้างก็ได้

ขอต้อนรับสู่โหมดเลือกตั้งอีกครั้งนะครับ.

“ซูม”