“ป๋าเปรม” & “มหาธีร์” ฟื้นความทรงจำในอดีต

ผมตั้งใจจะเขียนถึง “ข่าว” และ “ภาพ” ที่ผู้อาวุโส วัย 90 ปี 2 ท่าน ยืนสัมผัสมือกันอย่างแนบแน่น บนหน้า 1 หนังสือพิมพ์ ตั้งแต่เห็นภาพและอ่านข่าวเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว แต่จังหวะไม่ให้ เพราะจะต้องเขียนถึงเรื่องเบาๆ หรือเรื่องท่องเที่ยวสนุกสนานตามคิวของคอลัมน์ที่วางไว้ในฉบับวันหยุดเสาร์ อาทิตย์เสียก่อน

ขออนุญาตหยิบยกมาเขียนย้อนหลังในวันนี้คงจะไม่ช้าเกินไป แม้ 1 ในผู้อาวุโสจะเดินทางกลับบ้านเมืองของท่านไปแล้วก็ตาม

ผมหมายถึงข่าวและภาพ ท่าน มหาธีร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ที่แวะไปพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสา เทเวศร์ นั่นแหละครับ

ทั้ง 2 ท่านเคยเป็นนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่ตรงกันถึง 7 ปีเต็มๆ โดยป๋าเปรมขึ้นดำรงตำแหน่งก่อนในปี 2523 ท่านมหาธีร์ขึ้นดำรงตำแหน่งในปี 2524 ตามหลังมา 1 ปี

ป๋าเปรมอยู่มาจนถึง พ.ศ.2531 จึงตัดสินใจวางมือ ก้าวลงจากตำแหน่ง แต่มหาธีร์อยู่ไปเรื่อยๆ จนถึง พ.ศ.2546 รวมเวลาอยู่ในตำแหน่งช่วงแรกยาวนานถึง 22 ปี 277 วัน ยาวนานเป็นอันดับ 85 ของผู้นำโลก เมื่อนับรวมประธานาธิบดีเข้าไปด้วย

ภาพที่เราเห็นป๋าเปรมอายุ 98 ย่าง 99 จับมือกับมหาธีร์ อายุ 93 ย่าง 94 อย่างแนบแน่น และจ้องตามองกัน พร้อมกับยิ้มนิดๆ บนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ บ่งบอกให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของทั้ง 2 ท่านเป็นอย่างดียิ่ง

โดยเฉพาะแววตาและสีหน้าของท่านมหาธีร์ แสดงออกอย่างชัดเจนถึงความชื่นชมยกย่อง และให้เกียรติป๋าเปรม

ผมยังจำได้ติดตาว่าท่านมหาธีร์มาขอเรียนรู้ความสำเร็จในการ บริหารเศรษฐกิจไทยในยุคป๋าหลายครั้ง

ต้องไม่ลืมว่าในปี 2525-2526 เศรษฐกิจตกต่ำทั้งโลกและเอเชีย ทั้งไทยและมาเลเซีย ก็เจอคลื่นเศรษฐกิจครั้งนั้นด้วย

แต่ประเทศไทยกลับฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วจากการประกาศลอยค่าเงินบาท เป็นเหตุให้ค่าเงินบาทลดลง อันเป็นผลให้การส่งออกและการท่องเที่ยวของประเทศไทยกระฉูดขึ้นทันตาเห็น

ป๋าเปรมปัดฝุ่นนโยบาย Visit Thailand Year หยิบมาใช้อีกครั้งด้วยการเสนอแนะของสภาพัฒน์ ซึ่งมี ดร.เสนาะ อูนากูล เป็นเลขาธิการ อันเป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “มุ่งประหยัด เร่งรัดนิยมไทย ร่วมใจส่งออก+ท่องเที่ยว” ในช่วงเวลาดังกล่าว

อย่างเหลือเชื่อ ประเทศไทยฟื้นตัวอย่างรวดเร็วมากภายใต้นโยบายนี้ และเพียงแผล็บเดียวก็ได้รับฉายาว่า “เสือตัวใหม่แห่งเอเชีย” จากนิตยสารไทม์ และนิวส์วีก ฉบับเอเชีย นำขึ้นพาดหัวเป็นสารคดีหน้าปก

ช่วงนั้นท่านมหาธีร์มาเมืองไทย และแวะไปขอความรู้เป็นการส่วนตัวที่สภาพัฒน์ด้วย จากนั้นก็ประกาศนโยบาย “Visit Malaysia” ออกมาทันที ตามหลังเรา 3-4 ปี

มหาธีร์เดินหน้าออกเป็นแม่ทัพด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วยตนเอง มีการสร้างตึกสูงสุดในเอเชียยุคนั้นอย่างเปโตรนาส ทาวเวอร์, มีการไปขอเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันรถสูตร 1 หรือ F1 และทุ่มเทพัฒนาลังกาวีอย่างจริงจัง ฯลฯ จนประสบความสำเร็จในด้านท่องเที่ยวอย่างมาก

จริงอยู่โดยพื้นฐานแล้วมาเลเซียมีระดับการพัฒนาที่สูงกว่าไทย รายได้เฉลี่ยต่อหัวของเขาดีกว่าเรามาตลอด แต่ในช่วงเศรษฐกิจตกตํ่า พ.ศ.2524-2525 นั้น เศรษฐกิจมาเลเซียทรุดฮวบถึงขั้นติดลบ เหตุเพราะราคานํ้ามันดิ่งเหวทั่วโลก

ผมคิดว่าที่ท่านมาดูเราหรือขอเรียนรู้จากเราก็คือวิธีการฟื้นตัวนั่นเอง และอย่างน้อยท่านก็จำอย่างหนึ่งไปใช้คือ นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวดังกล่าว

แน่นอนในช่วงเวลา 7 ปีที่ทั้ง 2 ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีพร้อมๆ กันคงจะมีอะไรลึกซึ้งกว่านี้อีกมากนัก แต่เท่าที่ผมจำได้จากเรื่องนี้เรื่องเดียวก็น่าจะเป็นเหตุผลพอเพียงแล้วว่าท่านสมควรที่จะยิ้มแย้มและมองป๋าเปรมด้วยความชื่นชม อย่างที่ผมเห็นในภาพ

ณ นาทีนี้เล่าฮูหนึ่งล้างมือในอ่างทองคำไปนานแล้ว เล่าฮูที่สองซึ่งล้างไปพักหนึ่ง แต่กลับมาจับกระบี่เดินเข้าสู่ยุทธจักรอีกหน

ก็ได้แต่เอาใจช่วยเล่าฮูที่สอง ขอให้แข็งแรงและครองยุทธจักรของท่านได้อย่างยั่งยืนต่อไป…เพิ่งย่าง 94 ปีเท่านั้น อีกตั้ง 6 ปี จึงจะถึง 100…สู้ๆ นะครับ ท่านมหาธีร์.

“ซูม”