ความสำเร็จของไทยเบฟ จากเจ้าพระยาสู่อาเซียน

นอกจาก “เดอะมอลล์กรุ๊ป” ที่แถลงโครงการใหญ่ 2 โครงการที่ผมนำมารายงานซ้ำถึง 2 วัน เพื่อย้ำให้เห็นถึงความเชื่อมั่นในประเทศไทยของกลุ่มเดอะมอลล์แล้ว

อีกหนึ่งบริษัทเอกชนที่มีความเชื่อมั่นทั้งในประเทศไทยและความสามารถของบริษัทเองว่าพร้อมที่จะขยายตัวเป็นผู้นำในระดับอาเซียน และก้าวสู่ระดับโลก ก็เห็นจะได้แก่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ชื่อที่เรียกย่อๆ ว่า “ไทยเบฟ” นั่นแหละครับ

แม่ทัพใหญ่ ไทยเบฟ คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี แถลงถึงวิสัยทัศน์ปี 2020 ของกลุ่มว่า พร้อมแล้วสำหรับการเป็นผู้นำด้านเครื่องดื่มของอาเซียน และพร้อมจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกต่อไป

โดยเฉพาะเครื่องดื่มประเภทมีแอลกอฮอล์นั้น ไทยเบฟสามารถรวมธุรกิจเบียร์อันดับ 1 ของเวียดนาม และสุราอันดับ 1 ของประเทศเมียนมา เข้ามาอยู่ในเครือเมื่อปีที่แล้ว ทำให้ขึ้นครองอันดับ 1 ของอาเซียน

ขณะเดียวกันก็มีผลิตภัณฑ์ของไทยเราอยู่อีกแบรนด์หนึ่ง เป็น “สุราขาว” ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าการเอ่ยถึงชื่อแบรนด์จะเหมาะสมหรือไม่ จึงขออนุญาตที่จะละไว้…แต่ก็อนุญาตให้ข้อมูลพอสังเขปว่า สุราขาว ที่ว่านี้เป็นแบรนด์ที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย และขายดีเป็นอันดับ 3 ของโลกเลยทีเดียว พร้อมที่จะบุกเข้าสู่เวียดนาม เมียนมา ฟิลิปปินส์ ในอาเซียน รวมไปถึงกลุ่มประเทศเอเชียเหนืออย่างจีน ไต้หวัน เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นในเร็วๆ นี้

คุณฐาปนเคยให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อเร็วๆ นี้ว่า ทุกวันนี้รายได้จากเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์สูงถึง 78 เปอร์เซ็นต์ของบริษัท ในขณะที่นันแอลกอฮอล์แค่ 22 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น…ทิศทางต่อไปคือต้องเพิ่มนันแอลกอฮอล์ให้ขึ้นมาใกล้เคียงให้ได้ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 50 ต่อ 50

นอกจากธุรกิจเครื่องดื่มแล้ว ไทยเบฟก็ยังเตรียมลุยธุรกิจด้านอาหารต่อไปอีกด้วย ซึ่งขณะนี้มีผลิตภัณฑ์ด้านอาหารหลายแบรนด์ที่อยู่ในการบริหารของไทยเบฟ รวมทั้งโออิชิ เคเอฟซี ฯลฯ

เมื่อเร็วๆ นี้ไทยเบฟได้มีการประชุมพนักงานเพื่อรับฟังวิสัยทัศน์ของการดำเนินงานไปสู่ปี 2020 และได้มีการแถลงข่าวถึงความเชื่อมั่น ในศักยภาพของเศรษฐกิจอาเซียน เศรษฐกิจไทย รวมทั้งศักยภาพของไทยเบฟเอง ดังที่ผมสรุปเอาไว้ข้างต้นโดยสังเขป

โดยส่วนตัวผมแล้วเคยดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์มาพอสมควร แม้จะไม่ถึงกับหัวรานํ้า แต่ก็ต้องถือว่าดื่มมากพอใช้

จนวันหนึ่งร่างกายก็ออกมาเตือนว่าไม่ไหวแล้วนะ ซึ่งเมื่อผมไปพบหมอก็ทำให้ทราบว่าเป็นทั้งความดันสูงและเริ่มมีอาการของโรคหัวใจ จึงตัดสินใจเลิกดื่มมากว่า 20 ปีแล้ว (รวมไปถึงเลิกสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาดด้วย)

จากประสบการณ์ของผมเอง ทำให้ทราบว่าเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์นั้น จะอย่างไรเสียก็มีโทษต่อร่างกาย จึงเห็นด้วยกับการรณรงค์ของกระทรวงสาธารณสุข และจะช่วยเขียนรณรงค์ให้อยู่เสมอๆ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยของเราลดการดื่มสุราลง

ดังนั้น แม้ในส่วนหนึ่งผมจะรู้สึกภูมิใจที่บริษัทไทยเบฟสามารถขยายเครือข่ายไปครองตลาดอาเซียนในด้านเครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ดังกล่าว โดยเฉพาะสุราขาวไทยที่มีข่าวว่าเป็นยอดนิยม ยอดจำหน่ายพุ่งสูงทั้งใน อาเซียนและเอเชียอื่นๆ

แต่ก็คงไม่ภูมิใจสุดๆ เหมือนเวลาสินค้าอื่นๆ ของเราไปตีตลาดอาเซียน เช่น “กาแฟอเมซอน” ของ ปตท. “มาม่า” ของ สหพัฒน์ หรือผงชูรส ตราชฎา รวมทั้งผลิตภัณฑ์ของ SCG

คงต้องฝากคุณ ฐาปน สิริวัฒนภักดี ที่ผมติดตามสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ มานานพอสมควร พบว่าเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพสูงมากอีกคนหนึ่งของประเทศไทย

ให้ช่วยส่งผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไทยๆ ที่ไม่มีแอลกอฮอล์อย่างอื่นๆ ไปสู่ตลาดอาเซียนให้มากขึ้น รวมทั้งอาหารไทยๆ ของเราด้วย

ผมเชื่อว่าคุณฐาปนคงพร้อมอยู่แล้วที่จะทำเช่นนี้ เพราะได้แถลงข่าวไว้แล้วว่าจะดำเนินการให้รายได้จากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และนันแอลกอฮอล์ขึ้นมาที่ 50 : 50 ในอนาคต

สรุปก็คือผมดีใจที่ไทยเบฟเชื่อมั่นในประเทศไทยและผมก็เชื่อมั่นในศักยภาพของไทยเบฟ จึงอยากจะเห็นฝีมือของไทยเบฟในการผลิตสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ทำให้คนเมามากนัก…ขึ้นอีกหลายๆ แบรนด์หลายๆ ตัว และทำให้สินค้าเหล่านั้นให้เป็นหนึ่งในอาเซียนให้ได้จะขอบคุณอย่างยิ่งครับ.

“ซูม”