ระวัง “ตบ” ผัวะเดียว จะเป็น “น้ำผึ้ง” หยดเดียว

เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา มีข่าวที่เป็นทั้ง “ข่าวดี” และ “ข่าวร้าย” ของธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทยเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน และเป็นข่าวในหน้า 1 วันเดียวกันของหนังสือพิมพ์บ้านเราหลายฉบับ

ในส่วนของ “ข่าวดี” นั้น หนังสือพิมพ์ระบุว่า โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาแถลงกับผู้สื่อข่าวว่าท่านนายกฯ ตู่ ท่านปลาบปลื้มมากกับผลการสำรวจของ “มาสเตอร์การ์ด” บริษัทบัตรเครดิตระดับโลกที่เปิดเผยออกมาล่าสุด

เหตุเพราะกรุงเทพมหานครหรือ Bangkok ของเราได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวให้เป็นเมืองสุดยอดจุดหมายปลายทางอันดับ 1 ของโลกอีกครั้งในปี 2560 ที่ผ่านมา

นับเป็นอันดับ 1 ครั้งที่ 5 ในรอบ 6 ปีที่มีการสำรวจ และที่สำคัญกวาดที่ 1 มาได้ 3 ครั้งรวดตั้งแต่ปี 2558-2559 และ 2560

ท่านโฆษกแถลงด้วยว่า “ท่านนายกฯ ขอบคุณนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่โหวตให้เราเป็นสุดยอดจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยว โดยรัฐบาลขอยืนยันว่านักท่องเที่ยวคือแขกพิเศษของคนไทย จึงต้องการให้ทุกคนเกิดความประทับใจตลอดเวลาที่อยู่เมืองไทย และอยากจะกลับมาอีก”

ทีนี้ก็ลองมาอ่าน “ข่าวร้าย” กันบ้าง

หนังสือพิมพ์ทุกฉบับลงข่าวว่ามีการเผยแพร่คลิปนักท่องเที่ยวจีนรายหนึ่งถูก รปภ.ไทยตบหน้าที่สนามบินดอนเมือง เมื่อเร็วๆ นี้

ภาพนักท่องเที่ยวจีนถูกตบได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์ของประเทศจีน ชาวจีนออกความเห็นแสดงความไม่พอใจยาวเหยียด จนทำให้เกิดกระแสต่อต้านประเทศไทยที่แสดงความก้าวร้าวและไม่ต้อนรับชาวจีน

ต่อมาผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมืองได้ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงว่า นักท่องเที่ยวจีนรายนี้ไม่ได้รับอนุมัติให้เข้าประเทศไทย เพราะหลักฐานสำคัญบางประการไม่ครบถ้วน แต่ไม่ยอมให้ส่งตัวกลับ และแสดงกิริยาไม่เหมาะสมบางประการขึ้นก่อน

อย่างไรก็ตาม การกระทำการรุนแรงของ รปภ.ไทยก็ไม่เหมาะสมเช่นกัน จึงได้สั่งให้ลงโทษด้วยการพักงานแล้ว และอาจจะมีการไล่ออกเมื่อสอบสวนแล้ว พร้อมทั้งขอโทษมายังนักท่องเที่ยวชาวจีน ตลอดจนพี่น้องชาวจีนที่เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีต่อไทยด้วย

ล่าสุดมีข่าวว่า พล.อ.ประวิตร รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ก็สั่งพักงานผู้อำนวยการท่าอากาศยานดอนเมืองไปแล้วเช่นกัน

คงต้องยอมรับว่า ข่าวหลังนี้เป็น “ข่าวร้าย” ที่ร้ายแรงไม่น้อย เพราะจากการแชร์คลิปจนมีคนดูเป็น 10 ล้านวิวในประเทศจีนย่อมส่งผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวจีนอย่างมหาศาลแน่นอน

คำขอโทษจากฝ่ายไทยเราจะพอเพียงหรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป

จริงๆ แล้วนักท่องเที่ยวจีน เป็นนักท่องเที่ยวที่มีทั้งผลบวกและลบต่อประเทศเรา…ในแง่บวกคือ การนำเงินมาจับจ่ายใช้สอย รวมแล้วจำนวนมหาศาล

แต่ในแง่ลบก็คือ ในช่วงแรกเราได้นักท่องเที่ยวที่มีปัญหา ทำให้เกิดการทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวอย่างมาก ขณะเดียวกัน ก็มีบริษัทนอมินีของเขาจำนวนมาก ทำให้ไม่แน่ใจว่ารายได้ที่พวกเขานำมาใช้จ่ายจะหลงเหลืออยู่ในประเทศไทยเรามากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม มีความพยายามแก้ปัญหาด้านลบ คือจับกุมบริษัทนอมินีมากขึ้น แก้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญที่นำลูกทัวร์มารีดไถได้มากขึ้น จนหลายๆ ฝ่ายพอใจว่า นักท่องเที่ยวจีนยุคหลังเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพดีเป็นส่วนใหญ่

หากจะสูญเสียนักท่องเที่ยวจีนที่ดีไป ก็จะเป็นผลกระทบอย่างมากต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของประเทศไทย

ล่าสุดเริ่มมีเค้าของการสูญเสียเกิดขึ้นแล้ว จากการที่เกิดเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต แต่ทางการไทยก็พยายามชี้แจงจนสถานการณ์ดีขึ้นในระดับหนึ่ง

มาถึงเรื่องคลิป “ตบนักท่องเที่ยวจีน” คราวนี้ ซึ่งเกิดขึ้นก่อนหน้าวันหยุดวันชาติจีน อันเป็นเทศกาลท่องเที่ยวจีนเพียงไม่กี่วัน

หากนักท่องเที่ยวจีนที่จะแห่ไปเที่ยวอย่างล้นทะลักระหว่าง 1-7 ตุลาคมนี้ ไม่มาไทย หรือมาลดลงก็แสดงว่า “คลิปดอนเมือง” มีผลกระทบอย่างแรงเกิดขึ้นแล้ว

ผมหวังว่ารัฐบาลไทยควรจะมีมาตรการอะไรเพิ่มเติมในการแก้ภาพลักษณ์ครั้งนี้มากกว่าที่ได้ดำเนินการไปเมื่อ 2-3 วันก่อน

ใครจะรู้ว่า “ตบผัวะเดียว” อาจกลายเป็น “น้ำผึ้งหยดเดียว” ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวซวนเซและประเทศไทยหรือกรุงเทพฯ อาจไม่ใช่เมืองสุดยอดของจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวอีกต่อไป.

“ซูม”