ฝรั่งเศสขึ้นแท่น!

ไม่มีอาถรรพณ์! ไม่มีพลิกล็อก! สำหรับการแข่งขันรอบ ตัดเชือก “ฟุตบอลโลก 2018” คู่แรก ระหว่าง “นักเตะตราไก่” ฝรั่งเศส กับ “ปิศาจแดงยุโรป” เบลเยียมเมื่อค่อนดึกคืนวันอังคารที่ผ่านมา

ทีมเต็ง 1 งวดสุดท้าย ฝรั่งเศส เล่นได้อย่างสมราคา เอาชนะ เบลเยียม ไปอย่างงดงาม 1 ประตูต่อ 0

credit : https://twitter.com/fifaworldcup

เหตุที่ต้องใช้คำว่า “งดงาม” แม้จะชนะกัน แค่ประตูเดียว เป็นเพราะลีลาการเล่นพลิ้วไหว ขึ้นเป็น ระบบ ลงเป็นระบบ และสามารถจบด้วยการ “ซัลโว” ทุกครั้งที่ทีมตราไก่ได้ลูก

ใช้กลยุทธ์ขุดกับดักให้ปิศาจแดง เบลเยียม เดินหน้าเข้าทะลุทะลวงแล้วรอจังหวะสวนกลับ สามารถสวนได้ถึงกว่า 10 ครั้ง และแต่ละครั้ง จบด้วยการยิงประตูฉิวไปเฉียดมา

สถิติอย่างเป็นทางการบ่งชัด ทีม ตราไก่ ครองบอลแค่ 36 เปอร์เซ็นต์ น้อยกว่า เบลเยียม ที่ครองได้ 64 เปอร์เซ็นต์ ถึงเกือบ 2 เท่า แต่กลับยิงประตูได้ถึง 19 ครั้ง ในขณะที่เบลเยียมครองลูกเยอะกว่า แต่ทำอะไรไม่ได้ มีโอกาสยิงเพียง 9 ครั้งเท่านั้นเอง

เยี่ยมที่สุดของฝรั่งเศสค่ำคืนนี้ยังคงเป็น อองตวน กรีซมันน์ ที่วิ่งขึ้นลงและวนซ้ายวนขวาตลอดสนาม

credit : https://twitter.com/fifaworldcup

ประตูที่ตราไก่ได้ในนาทีที่ 51 เกิดจากการเตะมุมด้านขวา โดยการโยนลูกอย่างเหมาะเหม็งของ กรีซมันน์ เข้าใส่ศีรษะของ ซามูแอล อุมติตี้ ที่โขกเข้าประตูไปอย่างหมดจดในระยะเพียง 6 หลา

เป็นประตูที่สามของ อุมติตี้ ในการรับใช้ทีมชาติฝรั่งเศสมาทั้งหมด 24 ครั้ง และเป็นประตูที่ 69 ของการได้ประตูจากลูก “เซตพีซ” ของศึกฟุตบอลโลกครั้งนี้

นอกจากกรีซมันน์แล้วดาวรุ่งอย่าง คิลิยัน เอ็มบัปเป ก็เป็นอีก 1 คนที่สมควรแก่การยกนิ้วให้เพราะเล่นได้อย่างเกินเด็กตลอด 90 นาทีเต็ม แม้จะยิงประตูไม่ได้ แต่ถือเป็นกำลังสำคัญในการคว้าชัยชนะของฝรั่งเศสเหนือปิศาจแดง

สำหรับตำแหน่ง แมน ออฟ เดอะ แมตช์ หลายสำนักยกให้ ราฟาเอล วาราน ด้วยเหตุผลที่ว่ากองหลังจากเรอัล มาดริดรายนี้ สามารถคุม โรเมลู ลูกากู ได้อยู่หมัด จนหมดสิทธิ์แผลงฤทธิ์ในวันนี้

ไม่เพียงลูกากูจะกลายเป็นเสือปืนฝืดเท่านั้น ดาวดังหลายๆ คนของเบลเยียมก็พลอยฝืดไปด้วยโดยเฉพาะ เควิน เดอ บรอยน์ วันนี้เล่นพลาดตลอด ผิดไปจากเดอ บรอยน์ ที่เคยเห็นตอนเล่นให้เรือใบสีฟ้า

สำหรับ เอเดน อาซาร์ แม้จะยังรักษาฟอร์มกองกลางยอดเยี่ยมของเขาไว้ได้ และเป็นตัวต่อตัวเชื่อมที่ดีที่สุดของเบลเยียมวันนี้ แต่ก็เปล่าประโยชน์เพราะนักเตะอื่นที่รับลูกไปจากเขามักไปแป้กเสียเองในช่วงปลายทาง

สิริแล้วก็สมควรอยู่ไม่น้อยที่ปิศาจแดงแห่งยุโรปไม่ชนะในวันนี้

credit : https://twitter.com/fifaworldcup

หลังการแข่งขัน โรแบร์โต มาร์ติเนซ กุนซือเบลเยียม บอกกับนักข่าวว่า “จริงๆ แล้วมันก็เป็นเกมที่สูสีและใกล้เคียงกันมาก และก็ตัดสินกันด้วยว่าใครจะมีโชคกว่ากันขณะที่อยู่หน้าประตู”

“ความตั้งใจและทุ่มเทของเด็กผมวันนี้สุดๆ ทุกคน ผมคงไม่สามารถเรียกร้องอะไรจากพวกเขาได้มากกว่านี้อีกแล้ว…พวกเขาพยายามที่สุดแล้ว”

มาร์ติเนซทิ้งท้ายการให้สัมภาษณ์ของเขาว่า เบลเยียมยังมีเกมเหลืออีก 1 เกม สำหรับการชิงตำแหน่งที่ 3 พร้อมกับยืนยันว่าจะทำให้ดีที่สุด เพราะเบลเยียมหวังมาจากบ้านตั้งแต่แรกแล้วว่าจะจบด้วยตำแหน่งสูงสุดเท่าที่จะสามารถทำได้

สำหรับกุนซือฝรั่งเศส ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ก็มองข้ามเกมเมื่อคืนนี้ไปสู่เกมหน้าเช่นเดียวกัน ต่างกันแต่ว่าของเขาเป็นเกมชิงแชมป์ ซึ่งหมายถึงการเป็นทีมที่เก่งที่สุดของโลก

“เกมวันอาทิตย์นี้เป็นเกมสำคัญที่สุดของเรา และเราก็ได้เกียรติและโอกาสอย่างยอดเยี่ยมที่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ในที่สุด”

“โดยส่วนตัวของผม เคยไปถึงจุดที่ว่านี้มาก่อนในการแข่งขันฟุตบอลยูโรเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่จบลงด้วยความเจ็บปวดเพราะเราแพ้โปรตุเกสไปหวุดหวิด 1-0”

credit : https://twitter.com/fifaworldcup

“ผมจึงหวังที่จะทำให้ดีกว่าในครั้งนี้ เพราะมันจะเปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง หากเราชนะในรอบรองชนะเลิศ แต่ไปแพ้ในนัดชิง”

“โอกาสที่เราจะสร้างความสุขให้แก่แฟนๆ มาถึงแล้ว แม้คืนนี้พวกเขาจะมีความสุขกันพอสมควร แต่จะดีที่สุดถ้าเราทำให้เขามีความสุขมากกว่านี้ในวันอาทิตย์”

ครับ! ก็คงต้องรอลุ้นกันอีกนิดว่า ในที่สุดของที่สุด ฝรั่งเศส และ ดิดิเยร์ เดส์ชองส์ จะมีความสุขหรือไม่?

อย่าลืมติดตามข่าวกันด้วยนะครับ เพราะในนาทีนี้คงรู้แล้วละว่า…คู่ชิงของตราไก่ในวันอาทิตย์ ที่จะถึงนี้จะเป็นใคร ระหว่าง “หมากรุก” กับ “สิงโต”.

“จ่าแฉ่ง”