จากใจ…คนรักสิงโต!

ณ บัดที่ “จ่าแฉ่ง” นั่งเขียน ต้นฉบับวันนี้ ศึกฟุตบอลโลก รอบ “เซมิไฟนอล” คู่แรกระหว่าง “ฝรั่งเศส” กับ “เบลเยียม” ยังไม่ลงสนามเลยครับ

แต่ทันทีที่ต้นฉบับลงตีพิมพ์ ผลการแข่งขันระหว่างตราไก่กับ ปิศาจแดงยุโรปจะคลอดออกมาเรียบร้อย

ไม่ว่าใครชนะ “จ่าแฉ่ง” ขอแสดงความยินดีด้วย และไม่ว่าใครแพ้ “จ่าแฉ่ง” ก็ขอแสดงความเสียใจด้วย…เพราะรักและชื่นชมทั้ง 2 ทีมทัดเทียมกัน

ต่างกับคู่ตัดเชือกคู่ที่สอง ระหว่าง อังกฤษ กับ โครเอเชีย ในช่างกลางดึกของคืนวันพุธที่ 11 กรกฎาคม แม้จะชื่นชมและรักใคร่นักเตะ ตาหมากรุก อยู่ไม่น้อย รวมทั้งจะเอาใจช่วยอยู่เสมอเวลาเตะกับทีมอื่นๆ

credit : https://twitter.com/fifaworldcup

แต่เมื่อมาเตะกับ สิงโตคำราม ก็คงต้อง “บ่องตง” หรือบอกกันตรงๆ ว่า “จ่าแฉ่ง” ต้องยอมเสียความเป็นกลางมาเอาใจช่วยสิงโตแล้วล่ะ

ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวเท่านั้นว่า ในครั้งแรก ที่ “จ่าแฉ่ง” เริ่มต้นติดตามฟุตบอลโลกอย่างจริงจัง เมื่อ ค.ศ.1966 หรือ พ.ศ.2509 นั้น อังกฤษเป็นเจ้าภาพ และได้เป็นแชมป์โลก

แม้จะไม่ได้ดูถ่ายทอดสด แต่ก็ได้ดูไฮไลต์และภาพยนตร์ข่าวเป็นระยะๆ ยังประทับใจอยู่จนถึงวันนี้ สำหรับนัดชิงชนะเลิศที่ อังกฤษ เสมอ เยอรมัน-ตะวันตก 2-2 ในเวลาปกติ

แล้วมาซัลโวได้ถึง 2 ประตู ในนาที 101 กับ 120 ของช่วงต่อเวลา โดย เจฟ เฮริสต์ ประตูในนาทีที่ 101 นั่นเอง ที่ถือเป็นประตูประวัติศาสตร์ และยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเข้าจริงหรือไม่ มาจนบัดนี้

กรรมการเป่าให้ แต่กองเชียร์เยอรมันและผู้สื่อข่าวทั่วโลกบอกว่าไม่เข้า ทั้งภาพยนตร์และภาพนิ่งที่ถ่ายไว้ก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจน

น่าเสียดายที่ยุคนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีโกลไลน์ และยังไม่มี VAR อย่างเดี๋ยวนี้ จึงไม่มีใครมากลับ คำตัดสินทำให้สิงโตคำรามชนะไป 4-2 ได้ครองแชมป์บอลโลกในที่สุด

ชัยชนะครั้งนั้นทำให้คนอังกฤษดีใจกันทั้ง ประเทศ ปลื้มใจกันทั้งประเทศ

ในฐานะผู้ให้กำเนิดกีฬาฟุตบอลขึ้นในโลกนี้ แต่ต้องทนดูคนอื่นเป็นแชมป์โลกมาหลายปี…จะไม่ให้ดีใจกันสุดๆ ได้ยังไงล่ะ เมื่อผู้ให้กำเนิดฟุตบอลได้เป็นแชมป์โลกกับเขาเสียที

“จ่าแฉ่ง” ก็พลอยดีใจไปด้วย เพราะช่วงนั้นเริ่มมีฟุตบอลอังกฤษมาฉายให้ดูทางโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม อยู่บ้างแล้ว

เด็กไทยส่วนมากจึงถูกปลูกฝังด้วยฟุตบอลอังกฤษ และกลายเป็นแฟนบอลอังกฤษไปเสียเป็นส่วนมากรวมทั้ง “จ่าแฉ่ง” ว่าอย่างนั้นเถิด

ตั้งแต่นั้นมา “จ่าแฉ่ง” และเด็กไทยรุ่นนั้นที่กลายเป็นคนแก่ไทยรุ่นนี้ต่างก็เอาใจช่วยสิงโตคำรามมาตลอดในการแข่งขันบอลโลก

ซึ่งก็ปรากฏว่าทีมชาติอังกฤษไม่เคยไปถึงดวงดาวอีกเลย แถมบางหนยังไม่ผ่านรอบคัดเลือกเอาด้วยซ้ำ เช่น ใน ค.ศ.1974, 1978 และล่าสุด คือ 1994

เคยได้เข้ามาถึงรอบ 4 ทีมหนเดียวเท่านั้น ในปี 1990 แล้วก็ไปยิงลูกโทษแพ้ เยอรมันตะวันตก 3-4 ในนัดตัดเชือกต้องไปชิงที่ 3 กับ อิตาลี เจ้าภาพ ซึ่งก็แพ้อีกได้กลับมาเพียงที่ 4 เท่านั้น

สำหรับการเข้ารอบ 4 ทีมหนนี้ สถานการณ์ดูดีกว่าปี 1990 หลายเท่า เพราะคู่ตัดเชือกมิใช่ เยอรมันตะวันตก หรือปัจจุบันก็คือ เยอรมัน หนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังของโลกแต่อย่างใด

หากแต่เป็น โครเอเชีย ซึ่งอย่างไรเสียก็ต้องถือว่ายังเป็นรองเยอรมันอยู่หลายช่วงในแง่บารมีและศักดิ์ศรี

จึงเป็นโอกาส “เพชร” ของสิงโตคำราม เพราะคงไม่ง่ายนักที่จะมาเจอด่านรอบนี้ ที่มิใช่ประเทศมหาอำนาจลูกหนัง

“จ่าแฉ่ง” มิได้ปรามาสโครเอเชียแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพียงแต่วิเคราะห์กันไปตามเนื้อผ้า และหวังว่าอังกฤษจะสามารถฉกฉวยโอกาสอันประเสริฐสุดครั้งนี้เอาไว้ได้

ยิ่งนัดที่แล้วอังกฤษผ่าน สวีเดน มาสบายๆ ไม่มีใครบาดเจ็บ ไม่มีใครเหน็ดเหนื่อยอะไรมากนัก…ตรงข้ามกับตาหมากรุกที่กว่าจะชนะรัสเซียได้ต้องเล่นถึง 120 นาที และต้องยิงลูกโทษ เหนื่อยทั้งกายและใจไปตามๆ กัน

ถึงได้บอกว่าเป็นโอกาสเพชรไงครับ เพราะไม่เพียงแต่จะเจอทีมที่ไม่ใช่มหาอำนาจลูกหนังเท่าไรนักเท่านั้น ยังจะเจอกับทีมที่ค่อนข้างกรอบเป็นข้าวเกรียบอีกด้วย

ถ้า แฮร์รี เคน และพลพรรคสิงโตคำรามของเขายังเอาชนะไม่ได้ จนทำให้หมดสิทธิเข้าไปสู่รอบสุดท้ายเหมือนปี 1966 ได้อีกครั้งละก็…จ่าแฉ่งก็ไม่รู้จะเซดว่าอย่างไรแล้วละ

ทำให้ได้ก็แล้วกันเคนเอ๋ย…รอมา 52 ปี แล้วนะเนี่ย ถ้าพลาดโอกาสในพุธนี้ละก็ อาจจะต้องรอไปอีก 48 ปี รวมเป็น 100 ปีเลยละสิงโตคำราม กว่าจะมีโอกาสอันดีแสนดีแบบนี้อีกครั้ง.

“จ่าแฉ่ง”