เปิดพระธรรมวินัย 227 ข้อ ข้อไหน “โทษหนัก” ที่สุด?

จากรายงานข่าวที่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับนำเสนอตรงกันว่า ในการจับกุมพระภิกษุชั้นผู้ใหญ่ในคดีเงินทอนครั้งนี้ มีพระภิกษุบางรูปถูกกล่าวหาว่ามีการร่วมเพศกับสีกาที่เป็นหมอนวด โดยปลอมตัวเป็นอาเสี่ยสวมเสื้อผ้าชุดซาฟารีไปเที่ยวโรงนวดแผนโบราณ และต่อมาก็รับหมอนวดมาเป็นภริยา ก่อนที่จะเลิกรากันไป

เรื่องราวจะจริงเท็จประการใดคงต้องติดตามคดีนี้ต่อไปครับ เพราะทั้งหมดเป็นเพียงรายงานข่าวเท่านั้น และหนังสือพิมพ์ทุกฉบับก็ยังใช้คำว่า “แหล่งข่าวกล่าวว่า” กำกับไว้

อย่างไรก็ตาม รายงานข่าวชิ้นนี้ทำให้ผมต้องรีบไปค้นหาพระธรรมวินัย 227 ข้อ หรือที่เรียกกันว่า “ศีล 227” ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ให้พระภิกษุปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมาอ่านทันที

จากการค้นผ่านกูเกิล ผมพบว่ามีเว็บไซต์ของหลายๆวัดได้เขียนถึงศีล 227 ข้อว่ามีอะไรบ้าง พร้อมกับมีคำอธิบายสั้นๆไว้ด้วย

ข้อที่หนักที่สุด ภิกษุใดประพฤติปฏิบัติแล้ว จะต้อง “ปาราชิก” หรือขาดจากความเป็นภิกษุทันทีมีอยู่ 4 ข้อ

เริ่มด้วยข้อแรก หรือถ้าเป็นกฎหมายก็คือมาตรา 1 ได้แก่ ข้อห้ามในเรื่อง “เสพเมถุน” นี่แหละครับ โดยระบุไว้ว่า ห้ามภิกษุเสพเมถุนกับมนุษย์ หรืออมนุษย์ (เช่น สัตว์เดรัจฉาน เปรต เป็นต้น)

ส่วนข้อสอง คือ ห้ามลักทรัพย์ ข้อสาม ห้ามฆ่ามนุษย์และทำแท้งกับหญิงที่มีครรภ์ และข้อสี่ ห้ามอวดอุตริมนุสธรรม

ทั้ง 4 ข้อนี้คือศีลที่มีบทลงโทษหนักที่สุด ไม่สามารถปลงอาบัติหรือลดโทษลงได้ และจากทั้ง 4 ข้อนี้ จะเห็นได้ว่า ประเด็นเรื่องเสพเมถุนเป็นประเด็นที่พระพุทธองค์ทรงห่วงใยที่สุด โดยนำมาบัญญัติไว้เป็นข้อห้ามที่ 1 ก่อนความผิดอื่นๆ

ครั้นเมื่ออ่านไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่ามีการห้ามปฏิบัติในเรื่องที่เกี่ยวกับความรู้สึกทางเพศ หรืออารมณ์ทางเพศอีกหลายๆข้อ

อาทิ ข้อห้ามว่าด้วย “การปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ เว้นไว้แต่ฝัน” ว่าด้วย “การเคล้าคลึง จับมือ จับช้องผมลูบคลำ จับต้องอวัยวะอันใดก็ตามของสตรีเพศ” ว่าด้วย “พูดจาหยาบคาย เกาะแกะสตรีเพศ เกี้ยวพาราสี” ฯลฯ เป็นต้น

ผมยังเสียดายที่ค้นหาคำอธิบายโดยละเอียดของการไม่ควรประพฤติไม่ควรปฏิบัติที่ยกตัวอย่างไว้นี้ไม่พบ

จำได้ว่าตอนผมบวชตามประเพณีเมื่อ 50 ปีก่อนโน้น ผมเคยอ่านเจอคำอธิบายถึงข้อห้ามที่ว่า “การปล่อยน้ำอสุจิด้วยความจงใจ” อย่างค่อนข้างละเอียดมากๆ

อธิบายว่าภิกษุใดทำให้ “สุกกะ” หรือน้ำอสุจิเคลื่อนโดยจงใจ แม้ “หยดหนึ่งแมลงหวี่ลิ้มได้” ก็ถือว่าภิกษุนั้นผิดข้อห้ามข้อนี้แล้ว

อย่าลืมว่าแมลงหวี่นั้นตัวเล็กนิดเดียว แสดงว่าหยดของสุกกะที่เคลื่อนออกมาจนกระทั่งแมลงหวี่ลิ้มได้ จะต้องเป็นหยดที่เล็กมากจริงๆ

แต่ข้อห้ามข้อนี้ก็มิได้ร้ายแรงถึงขั้นต้องปาราชิก หรือขาดจากความเป็นพระในทันที ถือเป็นความผิดขั้นสังฆาทิเสส คือปลงอาบัติและสารภาพกับพระภิกษุรูปอื่นได้

จะเห็นได้ว่าพระพุทธองค์ทรงให้ความสำคัญกับเรื่องความรู้สึกทางเพศของภิกษุสงฆ์อย่างมาก และได้บัญญัติข้อห้ามเอาไว้มากมาย

อาจเป็นเพราะความรู้สึกดังกล่าวนี้เป็นความรู้สึกที่กำหนดโดยธรรมชาติ และเป็นเรื่องยากที่จะเอาชนะได้เมื่อเทียบกับกิเลสในเรื่องอื่นๆ

ในทางวิทยาศาสตร์นั้นกล่าวกันว่า ผู้ชายที่มีอายุ 80 ปีแล้ว แม้จะไม่มีสุกกะแล้วก็ยังมีความรู้สึก มีอารมณ์ทางเพศอยู่ จนเราได้ยินคำเปรียบเปรยว่า “เฒ่าตัณหากลับ” หรือ “เฒ่าหัวงู” อยู่เนืองๆ

ซึ่งจะโทษใครก็ไม่ได้ เพราะเป็นแรงกดดันจากธรรมชาติ ซึ่งจะทำหน้าที่ของมัน แม้จะแก่เฒ่าเพียงใดก็ตาม

พระภิกษุที่บวชนานๆมีจำนวนมากที่ไม่สามารถต้านหรือขัดขืนกฎธรรมชาติข้อนี้ได้ และหลายๆคนก็ถูกจับสึกมาแล้วในข้อห้ามข้อนี้

ผมอ่านข่าวที่บอกว่ามีภิกษุบางรูปถอดจีวรออกแล้วแต่งกายด้วยชุดซาฟารีไปโรงนวด แล้วก็เชื่อว่าจะมีทางเป็นไปได้อย่างมาก

เพราะตระหนักดีว่าความกดดันของธรรมชาติในเรื่องความ ต้องการทางเพศนั้นหนักหนาสาหัสจริงๆครับ ทำให้ผู้ชายในโลกนี้แม้จะสูงด้วยวัยวุฒิ คุณวุฒิ เสียผู้เสียคนจนเป็นข่าวหน้า 1 มาแล้วมากมายหลายคนในแต่ละปี.

“ซูม”