สงครามการค้าจีนสหรัฐฯ ผลกระทบถึงหญ้าแพรก?

เมื่อเย็นวันพฤหัสบดีและวันศุกร์ที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐฯ ซึ่งจะอยู่ราวๆเช้าวันศุกร์และวันเสาร์ในประเทศไทยเรา ตลาดหุ้นที่สหรัฐฯ ร่วงกราวลงมา 2 วันติดๆกัน ด้วยตัวเลขที่เห็นแล้วน่าตระหนกไม่ใช่เล่น

ดาวโจนส์ร่วงในวันพฤหัสบดีไปถึง 724 จุด และยังตามมาร่วงต่อในวันศุกร์อีก 425 จุด รวม 2 วัน ร่วงไปถึง 1,149 จุด

ข่าวบอกว่านักลงทุนสหรัฐฯ หวั่นว่าสงครามการค้าระหว่าง “สหรัฐฯ” กับ “จีน” จะยืดเยื้อยาวนานและบานปลายหาจุดจบยาก จะนำความเสียหายมาสู่เศรษฐกิจโลก

ก็เลยเทขายหุ้นทิ้งหันไปซื้อทองแทน ทำให้ราคาทองคำปิดตลาดเมื่อเย็นวันศุกร์ตามเวลาสหรัฐฯ เพิ่มกระฉูดไปถึง 22.50 เหรียญสหรัฐฯ ต่อ 1 ออนซ์ ภายในวันเดียว

ไม่ทราบว่ามาถึงวันนี้แล้วสถานการณ์จะเป็นอย่างไรบ้าง ผมเขียนต้นฉบับวันนี้ในช่วงหัวค่ำวันจันทร์ที่ 26 มีนาคม ตลาดหุ้นวันจันทร์ที่สหรัฐฯยังไม่เปิด ฝากท่านผู้อ่านช่วยติดตามด้วยนะครับ

จะพุ่งลงต่อหรือจะฟื้นผงกศีรษะขึ้นได้คงเป็นที่ทราบกันแล้วล่ะ

แต่ไม่ว่าหุ้นจะร่วงหรือจะฟื้นขึ้นก็ช่างเถิด ผมคิดว่าประเด็นที่เราควรจะต้องติดตามต่อไปอย่างใกล้ชิดและเอาใจใส่อย่างยิ่งโดยเฉพาะทางภาครัฐบาลไทยของเราก็คือ ประเด็นของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีนครั้งนี้ จะนำไปสู่ผลลัพธ์อย่างไรบ้าง?

จะกระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจโลกแค่ไหน? และต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยเราเองแค่ไหน?

การประกาศสงครามการค้าของสหรัฐฯ หรือกล่าวให้ตรงจุดก็คือของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แม้จะมีจุดมุ่งหมายไปที่จีน แต่ก็ย่อมกระทบกระเทือนต่อทุกประเทศที่ค้าขายกับสหรัฐฯ

จะเจรจาหาทางหลบผลกระทบอย่างไรก็ขอให้รีบดำเนินการโดยด่วน

ขณะเดียวกันก็ต้องดูท่าทีของจีนด้วยว่า จะตอบโต้อย่างไร? กลยุทธ์ในการตอบโต้จะส่งผลมาถึงเราหรือไม่? จะกระทบจุดไหน? อย่างไร? เพราะเราก็เป็นคู่ค้าของจีนด้วยเหมือนกัน

ในทางตัวเลขนั้นเป็นที่ทราบดีว่า จีนได้เปรียบดุลการค้ากับสหรัฐฯถึง 375,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดี ทรัมป์ ตั้งเป้าว่า ยกแรกจะต้องลดให้ได้ 100,000 ล้านเหรียญ และในคำสั่งแรกที่ออกมาก็ประมาณการได้ว่า ราวๆ 60,000 ล้านเหรียญ

ทางฝ่ายจีนจะตอบโต้อย่างไรบ้าง จากข้อมูลการค้าพบว่า จีนซื้อสินค้าเกษตร โดยเฉพาะถั่วเหลือง ข้าวโพด ผลไม้ ถั่ว เนื้อหมู ฯลฯ และอาจจะเพิ่มศุลกากรนำเข้าประมาณ 3,000 ล้านเหรียญ

อาจดูน้อยมากเมื่อเทียบกับหมัดแรกของสหรัฐฯ แต่นักวิเคราะห์ก็เชื่อว่าจะมีผลไม่เบา เพราะผู้รับเคราะห์จะเป็นเกษตรกรของเมืองลุงแซม ซึ่งก็ต้องดูต่อไปว่าคุณทรัมป์จะมีนโยบายช่วยเกษตรกรอย่างไรหรือไม่

อีกหมัดหนึ่งของจีน ถ้าใช้ก็จะหนักไม่น้อย เพราะจีนเป็นเจ้าหนี้ใหญ่ของสหรัฐฯอยู่ในขณะนี้คือ ถือครองพันธบัตรของกระทรวงการคลังสหรัฐฯอยู่ถึง 1.17 ล้านล้านดอลลาร์

เป็นจำนวนที่มากพอสมควรเมื่อเทียบกับมูลค่าหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ รวมกันทั้งสิ้น 14.8 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน

ก็ต้องติดตามดูว่าจีนจะดำเนินการอย่างไรบ้างกับพันธบัตรคลังของสหรัฐฯ ที่จีนถืออยู่ เช่น อาจจะลดการเข้าซื้อพันธบัตรลงหรือไม่? ถ้าลดแล้วจะกระเทือนถึงนโยบายการคลังของสหรัฐฯอย่างไร?

ผมไม่สันทัดเรื่องการค้าต่างประเทศ ตอนเรียนธรรมศาสตร์เมื่อ 50 ปีก่อน ทำคะแนนวิชานี้ที่สอนโดยอาจารย์ สมพร เทพสิทธา ได้แค่ 65 เปอร์เซ็นต์ เลยเส้นตายมานิดเดียวเท่านั้น

ไม่สามารถจะวิเคราะห์อะไรได้มากกับสถานการณ์ปัจจุบัน แต่จำอาจารย์สอนได้ประโยคหนึ่งว่า หากเกิดสงครามการค้าจะทำให้การค้าของโลกป่วนและเศรษฐกิจโลกก็ป่วน ลงท้ายก็จะแพ้กันหมดทุกคน

ผมก็ได้แต่หวังว่า สงครามการค้าครั้งนี้จะไม่ยืดเยื้อยาวนานและอยากให้มีการเจรจาสงบศึกโดยเร็ว และไม่มีใครแพ้ใครชนะ

ไม่ใช่อะไรหรอก ผมห่วงประเทศไทยน่ะครับ รัฐบาลบอกว่าปีนี้เศรษฐกิจจะโตเกิน 4 เปอร์เซ็นต์แน่ๆ เพราะส่งออกดี ท่องเที่ยวดี ฯลฯ

แต่ถ้าสงครามการค้าไม่หยุด…ส่งออกจะดีได้อย่างไร? เผลอๆท่องเที่ยวก็จะพลอยไม่ดีเอาด้วย แถมจู่ๆราคาน้ำมันก็พุ่งพรวดอย่างน่าตระหนก ทำให้ต้นทุนสินค้าและการขนส่งบ้านเราจะแพงตามไปด้วย

เศรษฐกิจไทยจะเกินร้อยละ 4 อย่างที่อ้างกันไว้ไหมล่ะเนี่ย?

“ซูม”