จากตำรวจสู่อัยการ คดี “เสือดำ” เดินหน้า

เป็นอันว่าคดี “เสือดำ” ก็ได้เดินทางจากมือของตำรวจไปสู่อัยการเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา หลังจากใช้เวลา 36 วัน ในการสืบสวนสอบสวน และรวบรวมหลักฐานต่างๆ จนครบถ้วน

สรุปเป็นสำนวนเอกสารรวม 2 แฟ้ม หนา 852 หน้า ซึ่งได้มาจากการสืบพยาน 51 ปาก จากหลักฐานและวัตถุพยานที่ส่งไปตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ 28 รายการ รวม 225 ชิ้น

เพื่อส่งฟ้อง 9 ข้อหาต่อผู้ต้องหาทั้ง 4 คน รวมทั้งนาย เปรมชัย กรรณสูต ประธานกรรมการบริหารบริษัทอิตาเลียนไทยฯ ที่สังคมให้ความสนใจมากกว่าผู้ต้องหาอื่นๆ

วันส่งมอบสำนวนให้อัยการ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รอง ผบ.ตร. ผู้ควบคุมคดีให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไว้ตอนหนึ่งว่า

“มั่นใจในพยานหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์ 99 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 1 เปอร์เซ็นต์ให้อัยการตรวจสอบความถูกต้อง ยืนยันว่าสามารถเอาผิดทั้ง 9 ข้อหา ทั้ง 4 คนได้ เชื่อว่าจากหลักฐานที่มี เสือดำไม่ตายฟรีแน่นอน”

ผมคัดลอกมาจากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม ทั้งดุ้นเลยนะครับ เพื่อจะเป็นหลักฐานเอาไว้ว่าท่านได้พูดอย่างนี้เผื่อมีอะไรพลิกล็อกในวันข้างหน้า เช่น เสือดำเกิดตายฟรีขึ้นมาละก็จะได้กลับไปทวงถามคำให้สัมภาษณ์ของท่านอย่างพร้อมเพรียงกัน

ทางฝ่ายอัยการโดยท่านอธิบดีอัยการภาค 7 เมื่อได้รับสำนวนคดีมาแล้ว ก็ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นชุดหนึ่ง เพื่อร่วมกันพิจารณาด้วยความรอบคอบ รวดเร็วและโปร่งใส เพราะตระหนักดีว่า คดีนี้เป็นคดีสำคัญอยู่ในความสนใจของประชาชน

เมื่อคณะทำงานชุดนี้พิจารณา และมีความเห็นเสนอต่ออธิบดีอัยการภาค 7 มีคำสั่งทางคดีเรียบร้อยแล้ว สำนักงานอัยการสูงสุดจะแถลงให้ทราบในโอกาสแรก

เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม จากตำรวจสู่อัยการและอัยการเมื่อตรวจสอบสำนวนเรียบร้อยก็จะนำขึ้นฟ้องศาลต่อไปตามลำดับ จากนั้นคงจะต้องใช้เวลาพอสมควร กว่าคดีจะถึงที่สุด

ในช่วงเวลาดังกล่าว ข่าวคราวก็คงจะเงียบไปบ้าง เพราะสื่อมวลชนก็คงจะต้องหันไปสนใจกับข่าวอื่นๆที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆในแต่ละวัน

สำหรับคดีนี้ซึ่งอยู่ในความสนใจของประชาชนอย่างมาก ผมก็ได้แต่หวังว่าสื่อทุกแขนงคงจะติดตามทำข่าวในระหว่างการพิจารณาคดีมาเสนอให้ทราบบ้าง อย่าหายเข้ากลีบเมฆเป็นอันขาด

จริงอยู่ การนำเสนอข่าวที่เป็นคดีอยู่ในศาลเป็นเรื่องที่จะต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะอาจนำไปสู่การละเมิดอำนาจศาล หรือจูงใจศาล กดดันศาลอย่างใดอย่างหนึ่งที่อาจเป็นความผิดถูกดำเนินคดีได้

แต่การเสนอข่าวระหว่างการพิจารณาคดีอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่มี การแสดงความคิดเห็นนั้น เป็นเรื่องที่สามารถดำเนินการได้อยู่แล้ว

ผมก็ฝากไว้ให้มีการนำเสนอข่าวคราวเป็นระยะๆ นะครับ เพื่อที่คนไทยจะได้ไม่ลืมคดีนี้

ในส่วนของภาคประชาชนหรือองค์กรเอกชนต่างๆนั้น ผมมั่นใจเหลือเกินว่า จะมีการติดตามคดีนี้ต่อไปจนกว่าจะถึงที่สุด

ดังเช่นการให้สัมภาษณ์ของคุณ ศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ภายหลังตำรวจส่งสำนวนคดีไปถึงอัยการเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2 วันก่อน

ท่านประธานมูลนิธิสืบฯกล่าวตอนหนึ่งว่า การดำเนินการที่ผ่านมาจนถึงจุดนี้ถือว่าน่าพอใจ เจ้าหน้าที่ทำงานได้เร็ว การแจ้งข้อกล่าวหาครอบคลุมประเด็นที่สำคัญทั้งหมด ไม่มีข้อไหนหลุดไป

แสดงให้เห็นถึงพลังของประชาชนที่ช่วยกันตรวจสอบเร่งรัดการดำเนินคดี ทำให้ในขั้นตอนแรกทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น

ส่วนในสำนวนสอบสวนของตำรวจนั้น คงไม่สามารถเข้าไปดูได้ คงต้องรอฟังในวันที่ขึ้นศาลเท่านั้น

ซึ่งในช่วงท้ายประธานมูลนิธิสืบฯได้กล่าวย้ำว่า “หลังจากนี้ มูลนิธิสืบฯร่วมกับภาคประชาชนยังยืนยันว่าจะติดตามคดีนี้ต่อไปจนกว่าจะสิ้นสุดกระบวนการทางกฎหมาย”

ฟังอย่างนี้แล้วก็เบาใจได้ว่า เรื่องนี้คงไม่เงียบแน่นอน เพราะจะมีการเกาะติดไปจนตลอดกระบวนการจากคนไทยที่รักความเป็นธรรม และรักสัตว์ป่าที่มีมากมายท่วมท้นในขณะนี้

“เสือดำ” และสัตว์ป่าทั้งหลายจะต้องไม่ตายฟรี (ดังที่ท่านรองศรีวราห์รับประกันไว้) ว่างั้นเถอะครับ.

“ซูม”