ในสังคมที่ “เหลื่อมล้ำ” คนรวยจะต้องรวยให้เป็น

ข่าวใหญ่ของบ้านเราในช่วง 2–3 วันนี้คงไม่มีข่าวไหนโด่งดังและฮือฮาเท่าข่าวเศรษฐีใหญ่ระดับซีอีโอ ของบริษัทใหญ่มากๆ บริษัทหนึ่งถูกจับได้อย่างคาหนังคาเขาว่าไปบุกป่าล่าสัตว์ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรไปได้ละครับ

คดีจะจบลงอย่างไรไม่รู้ แต่ในทัศนะของประชาชนทั่วไปที่แสดงความคิดเห็นอย่างดุเดือดในโซเชียลมีเดียขณะนี้บอกได้คำเดียวว่า ซีอีโอเศรษฐีรายนี้ เละตุ้มเป๊ะไปเรียบร้อยแล้ว

เละกว่าซากสัตว์ที่โดนชำแหละดังที่เห็นในภาพถ่ายหลายๆ เท่า

นับเป็นบทเรียนอีกครั้งหนึ่งสำหรับคนร่ำรวยในสังคมไทยที่ไปทำผิดกฎหมายในเรื่องต่างๆ ซึ่งมักจะถูกสังคมไทยประณามรุนแรงกว่าบุคคลทั่วๆ ไปดังเช่นที่เคยเกิดมาแล้วกับลูกชายเครื่องดื่มบำรุงกำลังยี่ห้อหนึ่ง

ความขัดแย้งทางใจและความรู้สึกระหว่างคนรวยกับคนจนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมของทุกประเทศ ความรู้สึกของคนจนที่ไม่ชอบคนรวย จะมีอยู่ทุกประเทศและหลายๆ ประเทศ ได้กลายเป็นรอยร้าวที่สำคัญ นำไปสู่ความแตกแยกและความไม่สงบสุขนานาประการดังที่เราได้ยินข่าวคราวอยู่เสมอๆ

หลายๆประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูง คนรวยมีจำนวนน้อยแต่ร่ำรวยมาก กับคนจนซึ่งมีจำนวนมาก จึงต้องหันมาใช้นโยบายลดช่องว่าง โดยชักชวนให้คนรวยหันมาช่วยเหลือคนจนควบคู่ไปกับรัฐบาล

ประกอบกับคนรวยในประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งผ่านประสบการณ์อันขมขื่นมามาก ต่างก็ตระหนักในปัญหานี้ จึงหันมาช่วยดูแลสังคมผ่านมาตรการที่เรียกกันว่า CSR อย่างแพร่หลายมากขึ้น

หรือไม่ก็จัดตั้งมูลนิธิขึ้นเพื่อดำเนินการช่วยเหลือสังคมทั้งในประเทศตนเองและประเทศอื่นๆ ซึ่งเป็นการช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีแก่บริษัทนั้นๆ หรือเศรษฐีนั้นๆ ให้เห็นว่า ถึงเขาจะร่ำรวยแล้ว แต่ยังไม่ลืมสังคมหรือคนจน

สำหรับประเทศไทยเรานั้น แม้ในอดีตจะมีความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาก็ตาม แต่จากวัฒนธรรมและความเชื่อของคนไทยในเรื่องบุญเรื่องชาติปางก่อน ทำให้คนจนไทยส่วนใหญ่คิดว่าเป็นเพราะเราสร้างบุญกุศลไว้น้อยเมื่อชาติที่แล้ว เราจึงเกิดมายากจนในชาตินี้

คนจนไทยในอดีตจึงไม่รู้สึกโกรธขึ้งหรือขุ่นเคืองคนรวยแต่อย่างใด ต่างคนต่างก็อยู่กันไป ทำให้ประเทศไทยที่แม้จะมีความเหลื่อมล้ำสูงเอาตัวรอดมาได้ตลอด

แต่มาถึงยุคนี้หลายๆอย่างเริ่มเปลี่ยนไป การเรียนรู้ของคนจนมีมากขึ้น การรับรู้เรื่องราวในโลกกว้างก็มีมากขึ้น ความเชื่อเรื่องชาติปางก่อนเริ่มน้อยลง เป็นไปตามความเจริญของโลก

ดังนั้นหากปล่อยให้ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังที่ตัวเลขบ่งบอกไว้ในทุกวันนี้ ก็น่าวิตกไม่น้อยว่าจะเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นในสังคมไทยบ้างหรือไม่ในอนาคต?

ผมจึงเห็นด้วยและชื่นชมคนรวยและบริษัทรวยๆในประเทศไทยจำนวนมาก ที่ปัจจุบันนี้หันมาใช้ระบบ CSR ช่วยเหลือสังคมอย่างแพร่หลาย ขอให้ดูแล ขอให้ช่วยเหลือสนับสนุนกันต่อไปอย่าได้หยุดยั้ง

ขณะเดียวกัน คนรวยๆทั้งหลายก็จะต้องเลิก หรือยุติการใช้อิทธิพลต่างๆ โดยเฉพาะการทำตัวเหนือกฎหมาย หรือการใช้เงินซื้อกฎหมาย ซึ่งมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอๆโดยเด็ดขาด

เพราะความเหลื่อมล้ำในด้านรายได้นั้น คนจนยังพอทำใจได้ ตราบใดที่ยังพออยู่พอกิน มีปัจจัย 4 ครบ แม้จะจนก็ทนอยู่กันไป แต่ความเหลื่อมล้ำทางกฎหมาย โดยเฉพาะคนจนผิดติดคุกเรียบ แต่คนรวยผิดกลับเอ้อระเหยลอยชาย คนจนจะยอมไม่ได้แน่นอน

คงต้องฝากคนรวยไว้ด้วย เพราะการพัฒนาประเทศในระบบเศรษฐกิจเสรีนั้นพิสูจน์แล้วว่า คนรวยนับวันจะรวยขึ้นไปเรื่อยๆ และช่องว่างจะห่างขึ้นเรื่อยๆ…เป็นอย่างนี้ทั้งโลก ไม่เว้นแม้สหรัฐอเมริกา

ทางอยู่รอดของทุกประเทศจึงมีทางเดียว คือ “คนรวยจะต้องรวยให้เป็น” ดังที่ผมจั่วหัวเรื่องวันนี้ไว้

ช่วยเหลือสังคมอะไรได้ก็แบ่งปัน มาช่วยตามอัตภาพ และที่สำคัญที่สุดก็คือ จะต้องเคารพกฎหมายและยอมอยู่ใต้กฎหมายอย่างเคร่งครัดเช่นเดียวกับคนจน…เท่านี้แหละครับ ความหมายของวลีที่ว่า “คนรวยจะต้องรวยให้เป็น” มิได้มีอะไรลึกซึ้งไปกว่านี้เลย.

“ซูม”