เมื่อวันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ฝรั่งเขาเรียกว่าวัน “Black Friday” อันเป็นวันเริ่มต้นของการลดแหลกแจกแถมขนานใหญ่ของห้างสรรพสินค้าในสหรัฐอเมริกาเพื่อต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสและต้อนรับปีใหม่ที่กำลังจะเวียนมาถึงนั้นเอง
ปรากฏว่า Black Friday ปีนี้ได้เกิดการ “ลดราคา” ในสินค้าที่ไม่คาดฝันอย่างชนิด “ช็อกโลก” ถึง 2 ประเภทด้วยกัน
ได้แก่ “ราคาหุ้น” กับ “ราคาน้ำมัน” น่ะครับ…ร่วงกราวอย่างหนักหน่วง…มากกว่าราคาสินค้าปลีกในห้างสรรพสินค้าหลายเท่า
เริ่มจาก ราคาหุ้น ดัชนี “ดาวโจนส์” ร่วงไปถึง 905 จุด ทำสถิติมากที่สุดของการลดในวันเดียวของปีนี้…ในขณะที่ดัชนีหุ้น เอสแอนด์พี ก็ลดไปด้วย 107 จุด และ แนสแด็ก ดัชนีหุ้นไฮเทคก็ลดมากถึง 354 จุด ตัวแดงไปทั้งจอทีวีที่ถ่ายทอดสดสู่สายตาคนอเมริกัน
ไปดู ราคาน้ำมัน บ้าง ปรากฏว่าราคาน้ำมันดิบที่นิวยอร์กร่วงลงไปถึง 10 เหรียญ กับ 24 เซนต์ต่อ 1 บาร์เรล ไปปิดที่ 68 เหรียญ 15 เซนต์ต่อ 1 บาร์เรลในวันเดียว
ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ที่ลอนดอนก็ร่วงไปถึง 9 เหรียญ 53 เซนต์ต่อบาร์เรล ปิดที่ 72 เหรียญ 72 เซนต์ต่อ 1 บาร์เรลในที่สุด
ในกรณีของราคาน้ำมันที่ลดลงอย่างฮวบฮาบเช่นนี้ผมควรจะดีใจ เพราะดังที่ได้เคยเขียนรายงานท่านผู้อ่านแล้วว่าทันทีที่เศรษฐกิจโลกจะเริ่มฟื้นตัวก็ปรากฏว่าราคาน้ำมันเกิดแพงขึ้นอย่างไร้เหตุผล
จากบาร์เรลละ 50 กว่าเหรียญกลายเป็น 60 กว่าเหรียญ 70 กว่าเหรียญ และ 80 กว่าเหรียญ อย่างรวดเร็ว แถมยังคาดกันว่าอาจไปถึง 100 เหรียญต่อบาร์เรลด้วยซ้ำในต้นๆ ปีหน้า
ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อและของแพงขึ้นทั่วโลก อันจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการฟื้นตัวของทุกประเทศ
บ้านเราเองก็พลอยเจอปัญหาไปด้วย เพราะต้องใช้น้ำมันทั้งในด้านการผลิต การขนส่ง การคมนาคม ทำให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว…เดือดร้อนกันไปทั่วไม่ว่าคนรวยคนจน
ดังนั้น เมื่อจู่ๆ ราคาน้ำมันดิบโลกลดลงอย่างพรวดพราดถึง 10 เหรียญต่อบาร์เรลในวันเดียวเช่นนี้…กองเชียร์ที่เชียร์ไม่ให้น้ำมันแพงเกินเหตุอย่างผมควรจะดีใจเป็นที่สุด
แต่ผมกลับรู้สึกไม่ค่อยดีใจมากเท่าไรนัก เพราะเมื่ออ่านรายละเอียดของข่าวจบแล้วก็พบว่าสาเหตุที่ทำให้ทั้งราคาหุ้นและราคาน้ำมันหล่นฮวบฮาบลงนั้น…มาจากเจ้าไวรัส “กลายพันธุ์” ใหม่เอี่ยมนั่นเอง
องค์การอนามัยโลกหรือ WHO เพิ่งตั้งชื่ออย่างเป็นทางการให้แก่เจ้าไวรัสกลายพันธุ์ล่าสุดนี้ว่า Omicron ออกเสียงแบบไทยๆ ว่า “โอมิครอน” มิใช่ไวรัส Nu หรือ นู อย่างที่คาดหมายกันไว้
WHO ออกมาแถลงยอมรับว่าเชื้อกลายพันธุ์ “โอมิครอน” เป็นเชื้อที่ “น่ากังวล” หรือ Variant of Concern (VOC) ระบาดได้เร็วกว่าเผยแพร่ออกไปได้อย่างกว้างขวางกว่า มีอันตรายมากกว่า ทุกสายพันธุ์ที่เคยเจอมาและอาจหลบหลีกจากวัคซีนทุกชนิดได้อีกด้วย
ทันทีที่ WHO ออกมาแสดงความกังวล สหรัฐฯ ก็หันมาใช้มาตรการควบคุมการเดินทางอย่างเข้มงวดจาก 8 ประเทศ ในทวีปแอฟริกาต้นตอของโอมิครอนตั้งแต่วันจันทร์นี้เป็นต้นไป
รวมไปถึงแคนาดา อังกฤษ และสหภาพยุโรป ก็เริ่มออกมาตรการเข้มสำหรับเที่ยวบินและผู้คนที่เดินทางมา…จากประเทศดังกล่าว
ด้วยเหตุและผลอย่างย่อๆ ดังสรุปมานี้ แม้ผมจะเชียร์ไม่ให้ราคาน้ำมันขึ้นสูงมากนักก็ไม่อาจจะดีใจได้เลย
กลับกลายเป็นรู้สึกหวาดกลัวถึงขั้นหนาวๆ ร้อนๆ เสียอีกด้วยซ้ำ
ขนาด เดลตา ว่าร้ายแล้ว เจ้า โอมิครอน กลับร้ายกว่า นี่ถ้าเอาไม่อยู่หรือป้องกันไม่สำเร็จ ความสูญเสียทั้งชีวิต มนุษย์ทั่วโลก ตามมาด้วยเศรษฐกิจของโลกก็จะยิ่งหนักหนาสาหัสขึ้นอีก
ก็หวังว่าบ้านเราคงจะเข้มงวดกวดขันระมัดระวังผู้คนที่เดินทางมาจากแอฟริกาใต้และประเทศในแอฟริกาอื่นๆ ให้ดีๆ นะครับ
โครงการเปิดประเทศเพื่อการท่องเที่ยวต่างๆ นั้น จะทำต่อไปก็ทำเถิดแต่ขอให้ใช้ความระมัดระวังความรอบคอบอย่างสุดขีด
อย่าหละหลวมหรือชะล่าใจเหมือนตอน “เดลตา” นะครับ…หากเจอหนักๆ จาก “โอมิครอน” เข้าให้อีกละก็…เราจะฟื้นยากเลยละ เพราะผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเราจะหมดเค้าหรือหมดหน้าตักเรื่องเงินกู้เงินยืมที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจอีกระลอกกันแล้วหรือยัง? อย่าลืมคิดล่วงหน้าไว้ด้วยนะครับ ท่านรัฐมนตรีคลัง.
“ซูม”