จาก “กาเหว่าที่บางเพลง” ถึง…“กาเหว่าที่บางกอก”

จากเหตุการณ์บ้านเมืองที่มีคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งลุกขึ้นมาแสดงความคิดที่ขัดแย้งกับขนบประเพณีและความเชื่อถือของคนไทย จนนำไปสู่การประท้วงที่วุ่นวายดังที่ปรากฏอยู่ในขณะนี้

ทำให้ผมนึกถึงหนังสือเรื่อง “กาเหว่าที่บางเพลง” ของท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่เขียนไว้ตั้งแต่ พ.ศ.2530 ต้นๆ ขึ้นมาทันที…เพราะจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า หนังสือดังกล่าว ได้เล่าถึงความขัดแย้งของ “เด็ก” จากต่างดาวจำนวนหนึ่งที่มาอาศัยเกิดในครรภ์ของผู้หญิงใน “บางเพลง” หมู่บ้านชนบทสมมติหมู่บ้านหนึ่ง

ลูกนกกาเหว่าที่บางเพลงมีทั้งสิ้น 214 คน แม้จะเติบโตขึ้นมาในบางเพลง และได้รับการสั่งสอนจากพ่อและแม่ในบางเพลง จึงควรที่จะเติบโตเหมือนเด็กไทยในบางอื่นๆ ทั่วประเทศ ที่มีวัฒนธรรม จารีตประเพณี และสังคม ความเป็นอยู่แบบเดียวกัน

แต่เด็กกาเหว่า มี “โทรจิต” จากโลกอื่นคอยสั่งให้ทำและคิดในแบบโลกอื่นมาตั้งแต่ต้น จึงคิดและทำอย่างมนุษย์โลกอื่นที่แตกต่างไปจากผู้คนในบางเพลง หรือบางอื่นๆ ทั่วไทยโดยสิ้นเชิง

เมื่อโตขึ้นเด็กกาเหว่าก็แสดงให้เห็นว่ามีอำนาจทางจิตเหนือคนบางเพลง สามารถยึดบางเพลงได้ทั้งหมด แม้แต่สถานีตำรวจบางเพลงก็เคยไปยึดมาแล้ว

มีบางช่วงเด็กกาเหว่ามานั่งดูแผนที่ประเทศไทยด้วย ก็ทำให้หวาดเกรงกันว่าอีกหน่อยจะยึดประเทศไทยเสียกระมัง?

ผมจำได้เลาๆ ว่าในที่สุดเด็กก็ไม่ได้ยึดอะไร ในทางตรงข้ามกลับต้องหนีจากบางเพลงกลับไปสู่ดวงดาวของตน…แต่ผมจำไม่ได้เสียแล้วว่า เพราะเหตุใดที่ทำให้เด็กกาเหว่าที่มีอิทธิฤทธิ์มากต้องพ่ายแพ้แก่บางเพลง

เผื่อจะนำมาเป็นแนวทางสำหรับชี้แนะให้รัฐบาลปัจจุบัน รวมถึงสังคมไทยปัจจุบัน หาทางเอาชนะเด็กกาเหว่าสมัยใหม่ได้บ้าง

จึงรีบไปค้นหาหนังสือที่ผมจำได้เช่นกันว่าท่านอาจารย์เคยส่งมาให้ผม และผมได้เก็บไว้อย่างดีในตู้หนังสือที่บ้าน ก็ปรากฏว่าเจอเข้าจริงๆ…

อาจารย์ส่งมาให้เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ.2532 และกรุณาเขียนถ้อยคำที่อ่านแล้วทำให้ผมปลื้มใจสุดๆ พร้อมทั้งลงนามมอบลายเซ็นมาให้ด้วย

เมื่อเปิดอ่านซํ้าจนจบอีกครั้งก็ทราบว่าสาเหตุที่เด็กกาเหว่าต้องหนีกลับโลกตนเอง เป็นเพราะเขามาจากโลกที่สะอาดและบริสุทธิ์มาก ร่างกายของเขาจึงขาดอวัยวะสำคัญไปอย่างหนึ่ง

ม้าม ไงครับ…ปรากฏว่าเด็กกาเหว่าทุกคนไม่มีม้ามไว้สำหรับคัดกรองหรือช่วยร่างกายสู้กับแบคทีเรียเลย ดังนั้น พอเป็น ไข้หวัดใหญ่ ที่มนุษย์ในโลกเราถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่เด็กกาเหว่าพอเป็นปุ๊บก็ปอดบวมปั๊บ ตายไปถึง 63 คน

คำสั่งจากนอกโลกจึงให้เด็กๆ ขึ้นจานบินกลับในบัดนั้น

พล็อตตอนจบแบบนี้ แม้จะถือว่าหักมุมได้เยี่ยมมาก แต่ก็คงจะนำมาเสนอแนะเพื่อเอาชนะเด็กไทยรุ่นใหม่ที่คิดต่างจากคนรุ่นเก่าไม่ได้ เสียแล้ว เพราะกลายเป็นเรื่องทางชีววิทยา หรือทางการแพทย์ไปซะ

แต่ก็มีบางช่วงที่อาจนำมาใช้ได้เหมือนกัน เพราะตามสไตล์ของอาจารย์หม่อมที่จะต้องแต่งเรื่องให้มี “พระ” หรือ “ท่านสมภาร” ประจำหมู่บ้าน ที่ควรค่าแก่การเคารพนับถืออยู่รูปหนึ่งเสมอๆ ซึ่งในเรื่องนี้ก็มี หลวงพ่อเติม เจ้าอาวาสวัดบางเพลง ที่มีเมตตาสูงยิ่ง

หลวงพ่อเติมท่านมีเมตตาและแผ่เมตตาให้แก่ทุกชีวิตในบางเพลงมาตลอด รวมทั้งชีวิตของเด็กต่างดาวนั้นด้วย

ท่านจึงเป็นที่เคารพของเด็กกาเหว่าทั้งหลาย แม้ในช่วงที่เด็กๆ แสดงอำนาจต่างๆ ก็มิได้นำมาแสดงแก่หลวงพ่อแต่อย่างใด

ดังนั้นเมื่อถึงคราวเด็กกาเหว่าจะกลับคืนสู่โลกตนเองทั้งหมด 151 คนที่เหลือ จึงมาพนมมือกราบลาหลวงพ่ออย่างนอบน้อม

แสดงให้เห็นว่า “เมตตาบารมี” นั้นเป็นบารมีสูงสุด แม้แต่เด็กต่างดาวก็ยังต้องพ่ายแพ้ต่อเมตตาของหลวงพ่อเติม

ก็ไม่รู้ซีว่าเราจะนำ “เมตตาบารมี” มาใช้กับเด็กกาเหว่ายุคปัจจุบันได้หรือไม่…เพราะในข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แม้จะมีศาลสถิตยุติธรรม มาคอยให้ความเมตตาแก่กาเหว่ายุคใหม่หลายต่อหลายครั้ง

กระนั้นก็ไม่ปรากฏว่าผู้นำเด็กกาเหว่ายุคใหม่จะตอบรับเมตตาแต่อย่างใด…ศาลเมตตาแล้วเมตตาอีกก็เหมือนเดิม

ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ที่เคารพครับ เราจะให้เรื่องราว “กาเหว่าที่บางกอก” ทุกวันนี้จบลงอย่างไรดีครับ?…กรุณามาเข้าฝันลูกศิษย์ด้วยเถิด…ลูกศิษย์จะได้บอกต่อไปยัง “ลุงตู่” ต่อไป.

“ซูม”

ข่าว, กาเหว่าที่บางเพลง, โควิด 19, ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, คนรุ่นใหม่, ซูมซอกแซก